จากกฏหมายคุ้มครองนโยบายความเป็นส่วนตัว ทางเว็บไซต์ www.cosmenet.in.th ขออนุญาตเก็บ ข้อมูลเพื่อนำไปใช้พัฒนาการให้บริการทางเว็บไซต์ ท่านสามารถอัปเดตข้อมูลส่วนตัว และทำความเข้าใจก่อนการยินยอมได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตกลงสวัสดีค่ะ ชาวคอสเม่เน็ตทุกคน วันนี้เราจะมาลองรองพื้น Skin Nuder Foundation
งานผิวตัวใหม่ล่าสุด ของ JUNG SAEM MOOL แบรนด์งานผิวสัญชาติเกาหลีอันโด่งดังที่พึ่งเข้าไทยเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่ตัวเองไปสอยคุชชั่นเขามา (แต่ยังไม่ได้หยิบมารีวิวเลย มีความขี้เกียจเบาๆ ค่ะ แฮ่) และนี่ก็ติดใจในงานผิวเขามากกก ก็ไปโดนตัวรองพื้นเขามาอีก TwT จะเป็นอะไรยังไง ตามมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ เย่ <3
JUNG SAEM MOOL Skin Nuder Foundation (1,700.-/30ml.)
รองพื้นที่ไม่ได้ให้แค่ผิวสวยเรียบเนียนจากการปกปิดแบบเป็นธรรมชาติตามสไตล์แบรนด์ แต่รุ่นนี้ยังเป็นรองพื้นที่เสริมความเปล่งปลั่งให้ผิวดูเปล่งประกาย ดูเหมือนคนผิวอิ่มน้ำ (ประมาณว่า กินน้ำ 10 แก้ว + นอนเต็มอิ่ม 8 ชั่วโมง แฮ่!)
เหตุผลที่เราอยากลองตัวนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราประทับใจกับคุชชั่นของเขา + เป็นของใหม่ที่หลายคนว่าดี ให้ลุคคล้าย คุชชั่นรุ่น Skin Nuder แต่ตัวนี้มาในรูปแบบรองพื้นเหลวในขวด (แอบคิดว่า น่าจะใช้ง่ายมากกว่า เพราะเป็นคนที่ใช้รองพื้นแบบกดออกมาจากขวดมากกว่าแบบคุชชั่น + น่าจะประหยัดมากกว่าแบบคุชชั่น)
คุณสมบัติหลักๆ ทั้ง 3 ประการ :
Nude Canvas Completed with Color and Light – สร้างผิวเรียบเนียนแบบเป็นธรรมชาติด้วยการปกปิดจากเม็ดสีโปร่งแสงที่จะปรับให้กลืนไปกับผิวจริงเสมือนเป็นผิวใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น (หลังแพคเกจใช้คำว่า like a second skin)
Clean Nude Glow – ฟินิชลุคเป็นแบบเผยผิวนู้ดโกลว์สวย + ฉ่ำโกลว์เปล่งประกายดูสดชื่นแบบธรรมชาติ จาก Blooming Oil 2 ตัว ทำให้ระหว่างวันผิวไม่แคร็ก หรือหน้าดูแข็ง + เพิ่มความยืดหยุ่น ยึดกับอณูแป้งให้ติดกับผิวยาวนาน
Nude Sensation – เนื้อสัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย ติดทนยาวนานตลอดวัน
สำหรับใครที่เวลาซื้อรองพื้นแล้วไม่รู้ว่าควรจะใช้นิ้ว แปรง หรือฟองน้ำดี (+มีงบเท่านี้ไม่อยากจ่ายซื้ออุปกรณ์เพิ่มแล้ว) ในกล่องนี้เขาก็มี Beauty Tool เป็น Easy-Tap Puff หรือพัฟฟองน้ำเนื้อนุ่ม แน่น เนียนละเอียด ทรงแบนที่ด้านนึงจะเป็นทรงมนปกติ และอีกด้านนึงเขาออกแบบตรงหัวเป็นมุมแหลมเพื่อแท็บรองพื้นตรงซอกเล็กบนผิวหน้า เช่น ซอกข้างจมูก หรือมุมช่วงหัวตา ฯลฯ ใส่มาพร้อมให้เราใช้งาน
ส่วนเนื้อสัมผัส จะเป็นครีมเกลี่ยง่าย แอบให้ความชุ่มชื้นกับผิวระดับหนึ่ง + เม็ดสีแน่นใช้ได้ และมีกลิ่นน้ำหอมเบาๆ ค่ะ สามารถใช้ได้ทั้ง นิ้วมือ แปรง และพัฟที่เขาแถมมาตามที่ตัวเองถนัดเลย เราลองทั้ง 3 แบบคือ รอดหมด ไม่ได้รู้สึกว่า วิธีการลงรองพื้นแบบไหน จะลงยากกว่า หรือเป็นคราบแต่อย่างใด สีที่เราเลือกมาเป็นสี Medium อาจจะเข้มกว่าคุชชั่นที่เรามีนิดนึง แต่ก็ยังถือว่าเข้ากับสาวผิวเหลือง-ผิวกลางๆ แบบกลืนเข้าไปดูเป็นธรรมชาติมากๆ ถ้าดูตามภาพจะเห็นเลยว่า ด้านขวาที่ทามีความธรรมชาติเหมือนกับอีกด้านที่ไม่ได้ทา + ดูมีความดิวอี้เล่นแสงเบาๆ
จากทั้งหมดที่มีประมาณ 6 เฉดสี ได้แก่ Fair สำหรับผิวขาวมาก มีติ่งชมพูนิดๆ, Fair-Light ขาวรองจาก Fair ค่อนข้างเหมาะกับผิวขาวเหลือง, N-Light ผิวขาวเหลืองธรรมชาติ แบบสุขภาพดี, Light ออกแนวครีมเบจ ออกแนวกลมกลืนกับสีผิวขาวเหลือง-กลางๆ และสี Medium สำหรับผิวเหลือง-ผิวกลางๆ ผิวสองสีก็พอใช้ได้นะคะ ใครที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองควรเลือกเบอร์อะไรแนะนำให้ไปลองปาดเล่นที่เคาท์เตอร์ก่อนน้า ส่วนใครที่เป็นสาวผิวเข้มอาจจะต้องอดใจรอนิดนึงค่ะ อีกไม่นานแบรนด์กำลังจะนำเข้าสี Medium Deep มาแล้วเด้อ
หลังจากลองใช้ : จะได้ลุคผิวเนียนสวย + เปล่งประกายดิวอี้ทันทีที่ทา ในเรื่องของการปกปิด ส่วนตัวว่าอยู่ในระดับบางเบา-ปานกลาง แต่สามารถบิ๊ลท์เลเยอร์ได้ ถ้าไม่ลงแป้งคือผิวสวยมากกก แต่ด้วยสภาพอากาศประเทศไทยและส่วนตัวเป็นชาวผิวผสมที่เหงื่อค่อนข้างเยอะก็อาจจะอยู่ไม่ถึงตลอดวัน เราเลยใช้แปรงลงแป้งฝุ่นแบบแมตต์ปัดเบาๆ ทับอีกชั้นนึง ช่วงแรกๆ ผิวจะดูแมตต์เล็กน้อยแต่ก็ดูไม่หนาเท่าไหร่ ยังคงเป็นงานผิวธรรมชาติ พอช่วงระหว่างวันแป้งเริ่มหลุด ผิวจะดูโกลว์สวยมากกก ผ่านไปประมาณ 8 ชั่วโมงรองพื้นอาจจะลอยเหนือผิวหรือเลือนบ้าง แต่ถ้าไม่ไปแตะ หรือไปถูก็ไม่หลุดนะคะ ซับแล้วยังสวยเด้อ โดยรวมถือว่า ดีงามสมราคาค่ะ สายเกาที่ชอบแต่งหน้าเน้นงานผิวโกลว์สวยควรมีเลย
ใครที่สนใจก็ลองไปปาดเล่นที่เคาท์เตอร์ดูเด้อ แต่ถ้าใครไม่สะดวกก็อาจจะลองสั่งออนไลน์ผ่าน LAZADA ดูนะคะ ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าน้า สวัสดีค่ะ รักรักรัก <3
ขอบคุณค่ะ