จากกฏหมายคุ้มครองนโยบายความเป็นส่วนตัว ทางเว็บไซต์ www.cosmenet.in.th ขออนุญาตเก็บ ข้อมูลเพื่อนำไปใช้พัฒนาการให้บริการทางเว็บไซต์ ท่านสามารถอัปเดตข้อมูลส่วนตัว และทำความเข้าใจก่อนการยินยอมได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตกลงต้องบอกก่อนว่า ปกติจะใช้รองพื้น เฉดสี 65 Neutral
เนื่องจากตอนที่ไปซื้อที่ Shop แล้ว BA ก็แนะนำให้ ว่าผิวเราควรใช้สีนี้
แต่พอลองซื้อมาใช้แล้ว กลับไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะรู้สึกว่าหน้ามันดูเข้มเกินไป
ส่วนตัวชอบแบบหน้าสว่างๆ กว่านี้
ทีนี้พอมีกิจกรรมของทาง Cosmenet.in.th
ที่ให้โอกาสเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้ทดลองรองพื้นสูตรใหม่จาก Clinique ก็เลยขอตามใจตัวเอง
เลือกเป็นเฉดสีใหม่ดูว่าจะเหมาะกับเราไหม เลยขอเลือกเป็นเฉดสีที่สว่างขึ้นมาอีกระดับนึง
คือ เฉดสี 64 Cream Beige (แอบลุ้นเหมือนกันว่า หน้าจะขาวเกินไปไหม)
แต่พอได้มาทดลองใช้จริงๆ คือ อื้มมม สีกำลังดีเลยทีเดียว สว่างขึ้นแบบธรรมชาติ ถูกใจเลยแหละ
โดยเฉพาะ Finished Look ที่เป็นเนื้อแบบซาติน ก็จะทำให้หน้าดูมีความฉ่ำวาวเล็กน้อย ดูสุขภาพดี
แล้วก็มีมิติ ไม่ดูแห้งจนเกินไป
เพราะปกติก็เป็นคนที่ผิวผสม ในบางจุดก็จะแห้งมาก ส่วน T-Zone ก็จะมันมาก (ดูเอาใจยากจริงๆ)
แต่ก็ไม่เป็นไร ให้ความสำคัญกับ Zone ที่เป็นผิวแห้งดีกว่า อยากให้ผิวดูฉ่ำๆ หน่อย สไตล์สายเกา
เพราะผิวส่วนที่แห้ง หน้าจะลอกแบบขุยๆ ยิ่งถ้าเป็นเนื้อแมตต์หน้าก็จะยิ่งดูแห้งไปกันใหญ่
ซึ่งรองพื้น Clinique Even Better Clinical™ Serum Foundation SPF 20 PA
ตัวนี้คือตอบโจทย์ เหมาะกับสภาพผิวเราเลยแหละ
แถมไม่มีส่วนผสมของน้ำมันด้วย ก็ไม่ทำให้เป็นสิว แม้จะใช้รองพื้นยาวนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
แล้วรองพื้นตัวนี้ยังมีส่วนผสมของ เทคโนโลยี 3 เซรั่ม
ก็ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นด้วย หน้าไม่แห้งเวลาที่อยู่ในห้องแอร์
หรืออยู่ในอากาศข้างนอกที่ไม่มีแอร์ ผิวก็เบาๆ สบายๆ ไม่หนักหน้า
แถมตัวนี้มีส่วนประกอบที่ป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยนะ
ซึ่งเราก็ใช้แค่รองพื้นตัวนี้ตัวเดียว ไม่ได้ทาครีมบำรุง หรือว่าครีมกันแดดเพิ่มเลย
ซึ่งพอใช้ต่อเนื่องกัน รู้สึกว่าผิวดูสว่างขึ้น (ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ)
เพราะเวลาเช็ดทำความสะอาดหน้า บางทีก็รู้สึกแปลกใจว่า
ทำไมหน้ายังดูขาวๆ สว่างๆ อยู่ นึกว่าตัวเองเช็ดหน้าไม่สะอาด 55555
แต่ถ้าถามว่า การปกปิดเป็นยังไงบ้าง ส่วนตัวยังไม่ค่อยปลื้มเท่าไร
เพราะรองพื้นตัวนี้ปกปิดได้แค่ระดับปานกลาง
ซึ่งผิวของเราก็ค่อนข้างมีปัญหา คือรอยคล้ำใต้ดวงตา และรอยจุดด่างดำ ทั่วใบหน้า
แม้จะลองใช้คู่กับแปรง หรือฟองน้ำก็ยังปกปิดได้ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่ถ้าอยากได้ Look ที่ Perfect จริงๆ ควรใช้รองพื้น ควบคู่กับ
Even Better™ All-Over Concealer Eraser ก็จะได้ผิวที่เรียบเนียนกระจ่างใสกริ๊บๆ มากขึ้น
ตามที่แบรนด์เขาแนะนำเลยล่ะ
ทีนี้มาพูดกันถึง Packaging Design กันบ้าง
โหหห อันนี้ต้องบอกเลย มันว้าวววมั่ก
คือตอนที่ได้น้องมา พอเปิดกล่องปุ๊บ เจอน้องปั๊บ นี่อุทานเลย WoW!!!
คือน้องน่ารักมาก น่ารักตั้งแต่กล่องบรรจุผลิตภัณฑ์เลย ทำสีได้แบบหวานนนมั่ก คือชอบมาก
เป็นสี Pastel ละมุนสุดๆ
แล้วยิ่งแกะเสื้อผ้า เอ้ย แกะกล่องน้องออกมา ยิ่งว้าวไปอีก
น้องน่าร้ากกก ตะมุตะมิมาก คือเขาทำเป็นทรงอ้วนๆ กลมๆ อย่างกับตุ๊กตาล้มลุกอ่ะนะ
เห็นละมันเขี้ยวมาก จับละก็เหมาะมือ น่าทะนุถนอม
และด้วยความที่เขาออกแบบด้วยบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยตัวขวดผลิตจากแก้ว สามารถนำไปรีไซเคิลได้
และส่วนตัวฝาก็จะเป็นหัวปั๊มสีขาว ดูเรียบหรู แต่...
มันจะมีรอยต่อระหว่างฝากับหัวปั๊ม และรอยต่อของหัวปั๊มกับตัวขวดแก้ว
อันนี้คือแบบหักคะแนนไปนิดนึง เพราะเปิดฝายากไปหน่อย
คือเปิดครั้งแรกฝาที่ปิดหัวปั๊มไม่เปิด แต่ดันเปิดตัวหัวปั๊มที่ติดกับขวดแก้วออกมาเฉย
งงอยู่นานว่าทำไมไม่มีหัวปั๊มหว่า? บ้าบอมาก หาหัวปั๊มอยู่ตั้งนาน T^T
ก็สรุปเลยแล้วกัน เรื่องความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับราคา
ตัวนี้ที่ได้มาจะเป็น ขนาด 30 ml. มูลค่า 1,950 บาท
ก็รู้สึกว่าราคาจะสูงไปสักนิด ถ้าเทียบกับประสิทธิภาพอ่ะนะ
คือถ้าผิวไม่มีปัญหา สามารถใช้รองพื้นเดี่ยวๆ ได้เลย
แต่ถ้าผิวหน้ามีปัญหาอย่างเรา ใช้เดี่ยวๆ ไม่ได้ต้องใช้คู่กับคอนซีลเลอร์
ซึ่งมันทำให้เราเปลืองสตางค์ขึ้นไปอีกยังไงล่ะคุ้ณณณ
อ่ะ จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน ให้ไป 4 คะแนนแล้วกันจ่ะ ^^