สวัสดีค่ะ สมาชิกทุกท่าน ขอเสียงคนอายุขึ้นเลข 3 หน่อยค่ะ (เชื่อเลยว่าไม่มีใครอยากเปิดเผยตัวเลขอายุแน่นอน) แนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ “แป๋ว” นะคะ เป็นสมาชิกใหม่ของห้องนี้ และเป็นสมาชิกใหม่ของวัย 30 ด้วยค่ะ ยังไงขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
แป๋ว เป็นคนชอบลองของมากค่ะ โดยเฉพาะสินค้าใหม่ ๆ ที่ออกมา ทั้งสายธรรมชาติ สายเคมี อาหารเสริม งานเข็ม งานคลินิก คือผ่านมาค่อนข้างเยอะค่ะ แต่พอวันนี้อายุเข้าเลข 30 แล้วมันเหมือนโฮโมนส์แห่งความตื่นเต้นเหล่านั้นหายไปอ่ะคะ อยากเริ่มหยุดการทดลองใช้โน่นนี่นั่นแบบมั่วซั่ว และหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น
ตอนนี้ก็เลยหันมาออกกำลังกาย กินอาหาร ควบคุมเรื่องไขมัน และเนื้อสัตว์มากขึ้น แต่วันนี้ที่จะมาขอเป็นมินิรีวิวก็คือเรื่องของการดูแลเรื่องผิวพรรณภายนอก จากการเลือกผลิตภัณฑ์ที่สารเคมีน้อยลง มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น และที่สำคัญคือ เรื่องกลิ่นฉุนของเคมี เพราะที่ผ่านมาสงสารจมูกเหลือเกินค่ะ
เริ่มจากวันนึงตัดสินใจจ่ายเงินเข้าสปาแบบราคาแพงเลย (สำหรับมนุษย์เงินเดือนคนนึง) ตอนนั้นจ่ายไปเกือบ 1 หมื่น/ครั้งค่ะ ทำตั้งแต่ปลายผม จรดปลายเท้า เหมือนซ่อมร่างกว่า 30 ที่ผ่านมา โดยไปทำที่สปาแห่งหนึ่งที่มีหลายสาขา ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงในนั้น จนได้พบเจอกับกลิ่น กลิ่นหนึ่งที่สารภาพเลยค่ะ ว่าเมื่อก่อนนี้ โน ไอเดีย กับกลิ่นนี้มาก นั่นคือ กลิ่นดอกชบา
เชื่อว่าหลายท่านนึกไม่ออกใช่มั้ยคะ ว่ากลิ่นดอกชบาเป็นยังไง ? ครั้งแรกที่แป๋วได้กลิ่นก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่ามันคือกลิ่นของดอกอะไร เพราะมันอยู่ในน้ำมันนวด หรือเทียนหอมที่สปาสักอย่าง ถ้าจะให้อธิบายพอเห็นภาพได้ คือ กลิ่นหวานเหมือนน้ำแดง แต่ไม่เลี่ยนเวียนหัวเหมือนพวกวานิลา หรือคาราเมลค่ะ
จากจุดเริ่มต้นที่สปานั้น เราก็ถามพนักงานเทอราพิสทันทีเลยว่า นั่นเป็นกลิ่นของอะไร ก็ได้คำตอบมาว่า กลิ่นดอกชบา ความรู้สึกตอนนั้นคือ เหมือนตกหลุมรักเลยค่ะ เพราะเรารู้สึกว่ามันลงตัวมาก ที่ผ่านมาแป๋วเป็นคนชอบใช้น้ำหอม สไตล์ เกาหลีๆ หน่อย ก็จะมีกลิ่นกลาง ๆ ประมาณนี้ หลังจากสปาครั้งนั้นก็เลยค่อย ๆ ตามหา product line ต่าง ๆ ของแบรนด์ไหนก็ได้นะคะ ที่เป็นกลิ่นดอกชบา โดยจุดแรกที่ไปเลยคือ เทียนหอมกลิ่นชบาที่สวนจตุจักร เริ่มมาถึงถุงแขวนในตู้ ที่เอามาใช้ในรถแทน แล้วก็มาถึงที่ต้องใช้กับผิว กับตัวโดยตรงนี้แหละค่ะ
ขอเล่าตรงนี้ก่อนนะคะว่าหลายคนอาจจะปลูกชบาไว้ที่บ้าน แต่.. ไม่รู้ที่ไปที่มา รวมถึงอาจจะยังสงสัยว่าชบานำมาทำผลิตภัณฑ์ที่เป็นออยนวดน้ำมันได้อย่างไร แป๋วขอเล่าสั้นๆ เกี่ยวกับดอกชบานิดนึงนะคะ
ชบา หรือดอกพู่ระหง เป็นดอกไม้ประจำชาติมาเลเซีย ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ (Bunga Raya) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบา โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่ง และสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์ และความงามได้อีกด้วย ข้อมูลนี้ยิ่งทำให้เข้าใจคำว่า “ กลิ่นที่ดิชั้นคู่ควร ” มากเข้าไปอีกค่ะ แป๋วลองเสิจหาข้อมูลของสินค้าที่เป็นกลิ่นดอกชบาดู ปรากฏว่า มีน้อยมาก โดยเฉพาะที่เป็นการสกัดกลิ่น ไม่ใช่แค่ทำกลิ่นเลียนแบบ
ภาพจาก samunpri.com
จนมาเจอของแบรนด์ บาธ แอนด์ บลูม (Bath and Bloom) ค่ะ ที่เป็นการสกัดกลิ่นชบาจากธรรมชาติ และมีโอกาสได้ไปทดลองดม และลองใช้เบื้องต้นกับน้อง BA ที่สาขา Central world มา ก็เลยซื้อมาลองใช้ 2 ตัวค่ะ
ตัวแรก คือ Massage Oil ซึ่งเป็นหนึ่งใน set collection: Pride of Asia ที่มีกลิ่นของดอกไม้เอเชียทั้งหมด 4 กลิ่นด้วยกัน ตัวนี้ คือไม่ได้ซื้อมาแล้วนวดเองนะคะ จะใช้เวลาไปนวดน้ำมัน หรือสปากับเพื่อน ก็จะพกไปเองค่ะ ใน collection นี้ มีอีก 3 กลิ่นในกล่องเดียวกันแบบนี้ ราคา 890 บาทค่ะ ปริมาณการนวดต่อครั้ง ถ้าเอาแบบฟินฟินก็ประมาณ 1 ขวดเลยค่ะ แต่เนื่องจากคอลเลคชั่นนี้มีทั้งหมด 4 ตัว ดังนั้นก็สามารถสลับกันใช้ได้ค่ะ
กลิ่นดอกชบา
กลิ่นอื่นๆ
อีกตัว ไม่ค่อยตรงโจทย์ตอนไปดูเท่าไหร่ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องผิวเลย แต่ดมกลิ่นแล้ว ตัดสินใจซื้อไวกว่าน้ำมันนวดอีกค่ะ ก็คือ Diffuser Set กลิ่นชบานี่แหละค่ะ หน้าตา set ก็จะประมาณนี้นะคะ มีตัวน้ำมันหอมระเหย ก้านไม้ประมาณ 10 ก้าน และตัวแจกันสำหรับใส่น้ำมัน
น้ำมันในเซ็ตขนาด 100 ml. น่าจะใช้ได้ประมาณ 3 เดือนนะคะ
แจกันสำหรับใส่น้ำมัน เป็นแบบแจกันเซรามิค ดูเป็นแบบสาวหวาน ๆเหมือนกลิ่นชบา
ทั้งหมด 2 ชุด ค่าเสียหายคุ้มค่าค่ะสำหรับกลิ่นที่ยูนีค และหายากแบบนี้ อยากให้ไปลองดมกันก่อน หรือลองถามที่สปาที่ไปทำกันนะคะ ว่ามีกลิ่นชบาให้ลองดมมั้ย อาจจะติดใจเหมือนแป๋วก็ได้นะคะ แล้วอย่าลืมมาเล่าให้ฟังด้วยนะคะ ว่าใช้แล้วเป็นยังไงกันบ้าง
ไว้มีเรื่องชบา จะขอกลับมาเล่าอีกนะคะ :)
ตอบกระทู้