รวม 10 โลชั่นผิวขาวกระจ่างใส ยี่ห้อไหนดี? ประจำปี 2025

navigate_beforeย้อนกลับ

0 

ผิวขาด"เซราไมด์"สาเหตุที่แท้จริงของ"ผิวแก่"

เซราไมด์ (Ceramide) คือสารจำพวกไขมัน ที่มีชื่อว่า สฟิงโกไลปิด (Sphingolipid) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) มีหน้าที่ในการปกป้องเซลล์จากสิ่งแปลกปลอมภายนอก และยังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ผิวหนังสามารถทำหน้าที่อุ้มน้ำ และรักษาระดับการซึมผ่านของน้ำในผิวหนัง โดยเซราไมด์จะพบได้ที่ชั้นหนังกำพร้าชั้นนอก (Stratum Corneum) ซึ่งเป็นบริเวณผิวชั้นบนสุดของหนังกำพร้า (Epidermis) โดยจะอยู่ติดกับเคราติน (Keratin) ของผิว หน้าที่ของเซราไมด์คือ จะเป็นตัวเชื่อมเคราตินให้เกิดการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วยให้ผิวแข็งแรง และ ลดการสูญเสียน้ำของผิว

เซราไมด์สามารถที่จะช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการสูญเสียน้ำของผิว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นและกระจ่างใสได้

ผิวของคนเราโดยปกติแล้ว จะทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย จึงต้องมีความหนาและความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ผิวยังมีหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย เช่น เหงื่อ รวมถึงช่วยระบายความร้อนอีกด้วย และถ้าหากถามว่าผิวบริเวณไหนที่คนเราให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่ง คำตอบนั้นก็คงจะเป็น “ผิวหน้า” นั่นเอง สาเหตุก็คือ หากเกิดปัญหาขึ้นบนผิวหน้า จะส่งผลให้ขาดความมั่นใจ รวมถึงบุคลิกภาพที่ไม่ดีได้ ดังนั้น หากเราดูแลผิวหน้าให้ดูดีอยู่เสมอ ก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาได้เช่นกันค่ะ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่เป็นประโยชน์ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาบริเวณชั้นหนังกำพร้าอย่างตรงจุด

ชั้นผิวหนังกำพร้าประกอบด้วย 5 ชั้นย่อย ดังนี้

1.Basal layer อยู่ชั้นในสุด ทำหน้าที่ผลิตเซลล์ Keratinocyte ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเม็ดสีผิว รูขุมขน และกรดไขมัน

2.Prickle layer เป็นชั้นที่ผลิตโปรตีนประเภท เคราติน (Keratin) ได้แก่ เส้นผม(รากผม) และขน

3.Granular layer เราสามารถพบกระบวนการผลัดเซลล์ผิวได้ที่ชั้นนี้เช่นกัน เป็นชั้นผิวที่พบการเกิดเส้นผมหรือขน และไขมันบริเวณรูขุมขน

4.Clear layer เป็นชั้นผิวที่เซลล์เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบหนาแน่น บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี ผิวพรรณเรียบเนียน

5.Horny layer หรือที่เราเรียกว่า ชั้นขี้ไคล (Desquamation) ซึ่งเกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่า เพื่อให้เกิดผิวใหม่ที่มีความชุ่มชื้น ซึ่งชั้นผิวนี้เองที่เราควรให้ความสำคัญ เนื่องจากอยู่ชั้นนอกสุดที่ต้องเผชิญกับมลภาวะ และสิ่งแวดล้อมภายนอกมากมาย

ชั้นผิว Horny layer สามารถฟื้นฟูได้ด้วยโดยเลือกใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนประกอบของน้ำและไลปิด (Hydrolipid film) เพื่อช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ชะลอริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นก่อนวัยอันควร และปกป้องผิวจากแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิว

ไลปิด หรือไขมันในผิวประกอบด้วยสาร 3 กลุ่มหลักคือ เซราไมด์(Ceramide), กรดไขมัน และ คอเรสเตอรอล(Cholesterol) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซราไมด์ ซึ่งเป็นสารหลักในการเสริมความแข็งแรงให้ผิว ได้แก่ สารจำพวกไขมัน ที่มีชื่อว่า สฟิงโกไลปิด (Sphingolipid) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ทำหน้าที่อุ้มน้ำ ลดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งเป็นตัวเชื่อมเคราตินให้เกิดการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ทั้งนี้ปริมาณของเซราไมด์ใต้ผิวจะแปรผันตรงกับช่วงอายุ โดยแรกเกิดถึง 30 ปี ผิวจะมีเซราไมด์ 100% และเริ่มลดลงเหลือ 60% เมื่อมีอายุ 40 ปี และยังคงลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับ 30++% เราทุกคนจึงสามารถพบเจอกับปัญหาผิวที่มีการขาดเซราไมด์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีการขาดอย่างรุนแรงนั้นจะแสดงอาการโรคผิวหนังอโทปิก (Atopic dermatitis) ได้แก่ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) โรคผื่นแพ้จากการสัมผัส (contact dermatitis) และโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) เป็นต้น ทั้งนี้ เราสามารถพบอาการเบื้องต้นจากการที่ผิวขาดเซราไมด์ คือ ผิวแห้งแตกง่าย เกิดริ้วรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ บนผิวขึ้นอีกด้วย

หน้าที่ที่สำคัญของเซราไมด์

– เป็นตัวเชื่อมให้เคราตินของผิวชั้นบนเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ

– ช่วยปกป้องให้ผิวแข็งแรง และป้องกันเชื้อโรคต่างๆเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง

– ลดการสูญเสียน้ำของผิว ช่วยให้ผิวสามารถเก็บกักความชุ่มชื้นได้ดี ทำให้ผิวชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง

– ลดการสังเคราะห์เม็ดสีผิว ช่วยป้องกันการเกิด ฝ้า กระ และ จุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

ประโยชน์ของเซราไมด์

นอกจากนี้ประโยชน์ของเซราไมด์นั้นยังทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวพรรณดูกระจ่างใสขึ้น โดยธรรมชาติเซราไมด์จะค่อยๆมีปริมาณลดน้อยลง เมื่อมีอายุมากขึ้น จึงเป็นผลให้สภาพผิวมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวขาดเซราไมด์ คือ พันธุกรรมมีผิวแห้งแต่กำเนิด การสัมผัสกับแสงแดด รวมถึงความเครียดก็เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างเซราไมด์ลดลง หากผิวเกิดการขาดเซราไมด์ จะส่งผลให้ผิวแห้งแตกง่าย เกิดริ้วรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ บนผิวขึ้นอีกด้วย

การขาดเซราไมด์ยังส่งผลต่อโรคผิวหนังได้อีกด้วย

นอกจากข้อเสียของการขาดเซราไมด์ดังกล่าวเบื้องต้นแล้วนั้น ยังมีงานวิจัยรับรองว่า การลดปริมาณลงของเซราไมด์นั้น จะเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ ดังนั้นเราจึงควรที่จะทำการป้องกันเพื่อไม่ให้ผิวเสื่อมสภาพ จึงควรเสริมเซราไมด์ให้เพียงพอ ทำให้ผิวของเรานั้นสามารถคงสภาพผิวให้ชุ่มชื้นได้อยู่เสมอ

มาเพิ่มปริมาณเซราไมด์ด้วยการทาครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ เพื่อเติมเต็มผิวกันนะคะ

 

6 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1

ขอบคุณค่ะ

October 26, 2019
ความคิดเห็นที่ 2

ขอบคุณค่ะ

October 27, 2019
ความคิดเห็นที่ 3

Thanks

October 27, 2019
ความคิดเห็นที่ 4

Thanks

October 27, 2019
ความคิดเห็นที่ 5

ใช่จร้า

October 28, 2019
ความคิดเห็นที่ 6

ขอบคุณครับ

October 28, 2019
What's new
เจาะลึก BSC Authentiq Collection เมคอัพที่ตอบโจทย์สาว ๆ ยุคใหม่9 ครีมลดริ้วรอยใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ลดตีนกา แก้หนังตาเหี่ยวรีวิวคุชชั่นไข่แดง TIRTIR งานผิวสวยโกลว์ ปกปิดเริ่ด เนียนกริบตลอดวันKOSAS เปิดตัว "แป้งฝุ่นอัดแข็ง" สูตรใหม่ล่าสุด เผยผิวสวยดุจนางฟ้า เปล่งประกายมากกว่าที่เคยChompink: AI ที่ทำให้การเลือกซื้อเครื่องสำอางเป็นเรื่องง่าย และตรงใจสำหรับทุกคนรวม 10 โลชั่นผิวขาวกระจ่างใส ยี่ห้อไหนดี? ประจำปี 20258 โฟมล้างหน้าลดรอยสิว จุดด่างดำ ฟื้นฟูผิวใส ช่วยลดรอยจางลงได้จริง!ดูดวงความรัก การงาน การเรียน การเงิน ระหว่าง 27 เม.ย – 3 พ.ค 68 (ทุกราศี) แชร์ 5 ทริคแต่งหน้ากันน้ำ กันเหงื่อ ล็อคเมคอัพให้สวยเป๊ะไม่มีโป๊ะ!ชวนทดลองใช้ ลิปสติกเนื้อเชียร์ สีสดชัด BSC AUTHENTIQ BIO VELVET SHEER COLOR LIP จำนวน 50 รางวัล