ขอบคุณค่ะ
จากกฏหมายคุ้มครองนโยบายความเป็นส่วนตัว ทางเว็บไซต์ www.cosmenet.in.th ขออนุญาตเก็บ ข้อมูลเพื่อนำไปใช้พัฒนาการให้บริการทางเว็บไซต์ ท่านสามารถอัปเดตข้อมูลส่วนตัว และทำความเข้าใจก่อนการยินยอมได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตกลง
ช่วงที่ผ่านมาเป็นเวลาที่เรามีโอกาศได้ลองผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย แต่พอลองมานั่งคิดๆ ดูแล้ว หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เราได้ลองมากที่สุดและใช้อย่างจริงจังที่สุดนั่นฏ็คือ "กันแดด" ซึ่งก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะด้วยสภาพอากาศ และรังสี UV ประเทศไทยที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงขึ้นทุกปีๆ ทำให้เรายิ่งต้องป้องกันผิวให้มากขึ้น
ซึ่งเมื่อเราเหลือบไปมองกองทัพกันแดดที่เปิดใช้อยู่ในตอนนี้ เลยตัดสินใจหยิบขึ้นมาแชร์ให้ฟังดีกว่า ว่าแต่ละตัวนั้นน่าสนใจและแตกต่างกันอย่างไร มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UV ได้มากน้อยแค่ไหน โดยการวิคราะห์สารสารกันแดดที่ใส่เข้ามาในสูตร รวมถึงทดสอบความมันของกันแดดแต่ละแบรนด์ด้วยการหยดกันแดดลงบนแผ่นฟิล์มซับมัน แล้วทิ้งไว้ 3 ชม. เพื่อทำการเปรียบเทียบความมันของกันแดดทั้ง 14 แบรนด์อย่างคร่าวๆ แต่ก่อนที่จะไปดูรีวิวกันแดด เราอยากพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับข้อมูลพื้นฐานของรังสี UV และ ค่า SPF,PA กันซักเล็กน้อย เอาหละถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยฮะ...
เราเคยทำบทความเรื่อง "เรื่องรังสี UV" ไว้แล้วหากเพื่อนๆ อยากอ่านแบบละเอียดคลิ๊กเข้าไปดูที่ลิงค์ได้เลยเน้อ แต่วันนี้เราขอหยิบประเด็นหลักๆ มาพูดเพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้นดีกว่าครับ อัลตร้าไวโอเล็ต (หรือรังสี UV) เป็นส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์ซึ่งทำให้เกิดผิวไหม้ ทำร้ายผิว และมะเร็งผิวหนัง โดยแสงอัลตร้าไวโอเล็ตหรือยูวีสามารถแบ่งออกมาเป็น 3 ประเภทตามความยาวคลื่นดังนี้ :
บนผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนมากจะระบุค่า SPF กับ PA ไว้หลากหลายแบบ เพื่อให้เราเลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการ โดย SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นค่าการป้องกัน UVB ที่บอกให้ทราบว่า เราจะอยู่กลางแสงแดดได้นานเท่าใดโดยที่ผิวของเราไม่ไหม้
หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ถ้าเราอยู่กลางแสงแดด 10 นาที แล้วผิวของเราเริ่มแดงไหม้ นั่นคือผิวเราทนได้แค่ 10 นาที หากทากันแดดที่มี SPF15 ผิวเราจะทนแดดได้นาน 10x15 = 150 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยที่ผิวไม่แดงไหม้นั่นเอง และหากจะเทียบค่า SPF กับปริมาณการดูดซับรังสี UVB พบว่า
มาทำความรู้จักกันต่อกับค่า PA หรือ Protection grade of UVA เป็นค่าการป้องกัน UVA ริเริ่มโดยสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2006 โดยมีประสิทธิภาพดังต่อไปนี้
เอาหละ เชื่อว่าตอนนี้น่าจะเข้าใจพื้นฐานของรังสี UV และความหมายของค่า SPF และ PA กันพอสมควรแล้ว เราไปเริ่มทำความรู้จักกันแดดทีละตัวเลยดีกว่าครับ....
ANESSA perfect UV sunscreen skincare milk SPF50+ PA++++ |
กันแดดในตำนานที่ไม่พูดถึงไม่ได้อย่าง ANESSA ขวดสีทองอันโด่งดัง หากวิเคราะห์ในแง่ของสารกันแดดที่ใส่มาส่วนตัวเราคิดว่าค่อนข้างครบ สามารถกันรังสี UVA และ UVB ได้ดีทีเดียว แถมล่าสุดยังได้มีการปรับสูตรใหม่เพิ่มเทคโนโลยี Aqua Booster EX ที่ทำให้ยิ่งโดนน้ำหรือเหงื่อก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการกันแดดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนในแง่ของเนื้อสัมผัส และความมันหลังทาสำหรับเราแล้วเราโอเคกับกันแดดที่มีเนื้อน้ำนมด้วยความที่เค้าสามารถเป็น Moisturizer ได้ในตัวสำหรับมนุษย์ผิวผสม-มันอย่างเรา แต่ในแง่ของความมันหลังทาอาจจะสูงไปซักหน่อย ระหว่างวันอาจมีการใช้กระดาษทิชชู่ซับความมันส่วนเกินออกไปบ้างเล็กน้อย
อีกจุดที่น่าพิจารณา คือ กันแดดขวดนี้ใส่น้ำหอม แอลกอฮอล์ และซิลิโคนเข้ามาด้วยแน่นอนว่ามีโอกาสระคายเคือง และอุดตันได้ แต่ก็แลกมากับคุณสมบัติ Water Resistant ที่หลายแบรนด์ไม่มีก็ต้องชั่งน้ำหนักกันซักหน่อยหละครับ
Biore UV AQUA Rich Watery Essence SPF50+ PA++++ |
หากย้อนกลับไปเมื่อสมัยเรายังเรียนมหาลัย Biore UV AQUA Rich Watery Essence เป็นกันแดดที่เราใช้บ่อยมาก ด้วยความที่เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมไว แถมราคายังสบายกระเป๋าเลย สารกันแดดที่ใส่มาอยู่ในระดับปานกลางพอไปวันไปวาได้ ซึ่งเราแนะนำให้ทาซ้ำทุกๆ 2-4 ชม. อีกจุดคือสารกันแดดทั้งหมดเป็นแบบ Chemical Sunscreen ซึ่งในบางคนที่แพ้สารกัดแดดกลุ่มนี้ก็อาจจะไม่ถูกกับน้องคนนี้เท่าไหร่นัก
และตามสไตล์กันแดดสัญชาติญี่ปุ่นก็มักจะใส่น้ำหอม แอลกกอฮอล์ และซิลิโคนมาเช่นเคย แต่ยังดีที่มีคุณสมบัติ Water Resistant มาให้ แต่จากประสบการณ์ของเราแล้วด้วยเนื้อกันแดดที่บางเบาแบบนี้ความสามารถในการกันน้ำไม่ได้สูงมากนักขอรับ
BONAJOUR Natural Green Tea Sunblock SPF50+ PA+++ |
กันแดดจากแดดกิมจิหลอดนี้มีความน่าสนใจในแง่สารกันแดดพอสมควร ด้วยความที่ใช้ทั้ง Physical และ Chemical Sunscreen สามารถกัน UV ได้ครบและค่อนข้างเสถียรทีเดียว นอกจากนี้เนื้อผลิตภัณฑ์ยังในรูปแบบ เจล-ครีม ซึ่งใช้แทนมอยเจอร์ไรเซอร์ได้เลยถือว่าประหยัดเวลาชีวิตพอสมควร นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการ Tone-Up ผิวให้ดูไบร์ทขึ้นอีกราวๆ 1 Step ใครที่ชอบ Effect แบบในการปรับผิวให้ไบร์ทขึ้นน่าจะถูกใจไม่น้อย
แต่ใช่ว่าจะมีข้อดีอย่างเดียว เพราะเมื่อลองทดสอบการกระจายตัวของความมันบนแผ่นฟิล์มซับมันพบว่ามีการกระจายตัวที่ค่อนข้างสูงทีเดียว แน่นอนว่าเมื่ออยู่บนผิวหน้าผนวกกับความมันบนผิวย่อมต้องมันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเราคิดว่า BONAJOUR Natural Green Tea Sunblock น่าจะเหมาะกับมนุษย์ผิวค่อนข้างแห้ง และมีสีผิวที่ขาวในระดับนึงเลยหละครับ
d program ALLERDEFENSE ESSENCE SPF46 PA+++ |
เมื่อพิจารณาถึงปัญหามลภาวะฝุ่น PM2.5 ที่ต้องเผชิญแล้ว d program ALLERDEFENSE ESSENCE SPF46 PA+++ ถือว่าเป็นกันแดดอีกหนึ่งแบรนด์ที่เราหยิบมาใช้ค่อนข้างบ่อยด้วยคุณสมบัติ Anti-Pollution ที่ดักจับอนุภาคเล็กๆ จากฝุ่นละอองได้ดี ช่วยลดโอกาสแพ้ระคายเคืองของเราไปได้เยอะเลยทีเดียวหละ ความน่าสนใจอีกอย่าง คือ สารกันแดดที่ใช้เป็นกลุ่ม Physical Sunscreen ล้วน ทำให้คนที่แพ้สารกันแดดกลุ่ม Chemical หัวใจพองโตได้ไม่ยาก
นอกจากนี้กันแดดขวดนี้ยังแหวกแนวจากกันแดดสัญชาติญี่ปุ่นเพราะไม่ใส่น้ำหอม และแอลกอฮอล์เข้ามาในสูตร ซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียว แถมยังมีคุณสมบัติ Water Resistant พ่วงเข้ามาด้วยหละ แต่น่าเสียดายตรงที่ผลทดสอบความมันของกันแดดขวดนี้ทำออกมาได้ไม่ดีนักขอรับ
Dr.Jart+ Every Sun Day SPF50+ PA+++ |
Dr.Jart+ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์น่าสนใจค่อนข้างเยอะ แถมยังทำราคาออกมาได้น่ารักทีเดียว อย่าง Dr.Jart+ Every Sun Day SPF50+ PA+++ ขวดนี้ที่เรามองว่า ราคา/ปริมาณ ทำออกมาได้เด็ดดวงมากทีเดียวหละครับ แถมในแง่ของประสิทธิภาพกันแดดเมื่อพิจารณาจากสารกันแดดแล้วก็จัดว่าดีทีเดียวกันแดดได้ครบและค่อนข้างเสถียร
อีกจุดที่ชอบคือความพอดีในเรื่องความมัน-ความชุ่มชื้นบนผิว ที่กำลังพอดีไม่มากไป ไม่น้อยไป แถมยังมีคุณสมบัติ Anti-Pollution(Dust Blocking) ใส่เข้ามาให้ด้วย จัดว่าดีงามทีเดียว โดยรวมเหมือนจะมีแต่ข้อดีใช่ไหมหละครับแต่จริงๆ แล้วในเรื่อง Texture ของเค้าก็อาจเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เพราะถ้าคนที่ผิวมันมากๆ ใช้กันแดดขวดนี้เราว่าก็ไม่น่ารอด ถ้าไม่ลงแป้งฝุ่นทับ
Eucerin SUN DRY TOUCH SEBUM CONTROL SPF60+ PA+++ |
หากนึกถึงกันแดดที่มีประสิทธิภาพดี หาซื้อได้ง่าย Eucerin เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เรามักจะแนะนำเพื่อนๆ อยู่เสมอด้วยประสิทธิภาพในการกันรังสี UV ที่ครบ เลือกใช้สารกันแดดที่ค่อนข้างเสถียร แถมยังมี Oxidant Filter ที่ช่วยลดการทำร้ายผิวจากรังสี High Energy Visible Light 85% จึงลดจุดด่างดำ ฝ้าแดดได้ซึงแบรนด์อื่นๆ ไม่มี
ที่น่าสนใจคือเค้ามีให้เลือกหลายสูตรมากไม่ว่าจะเป็นสูตรสำหรับผิวมัน, ผิว Sensitive, Whitening และ Age Repair โดยสูตรที่เราหยิบมาใช้ช่วงนี้คือ Eucerin SUN DRY TOUCH SEBUM CONTROL SPF60+ PA+++ ที่ใส่คาร์นีทีนช่วยควบคุมความมันระหว่างวัน ช่วยลดโอกาสเกิดสิวอุดตัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สูตรนี้อาจจะหาซื้อยากนิดนึงเพราะเค้ามีจำหน่ายเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้นขอรับ
HELIOCARE 360 Fluid Cream SPF50+ PA++++ |
ถ้าวันที่เราต้องออกแดดนานๆ เจอแดดจัด HELIOCARE 360 Fluid Cream SPF50+ PA++++ จะเป็นกันแดดที่เรามักจะหยิบมาใช้บ่อยที่สุด ด้วยประสิทธิภาพของสารกันแดดที่จัดมาเต็มแม็กซ์ กันได้ครบทุกช่วงไม่ว่าจะเป็น UVA-I, UVA-II และ UVB และมีความเสถียรของสารกันแดดสูงทีเดียว ในด้าน Texture เนื้อ Fluid Cream ก็ไม่ได้หนักหน้าจนเกินไป สามารถใช้แทน Moisturizer ไปได้ในตัว แต่ระหว่างวันก็ยังแอบมีความมันพอสมควร (ซับออกก็หายเน้อ)
นอกจากนี้ยังกัน Blue Light ที่มาจากหน้าจอ Electronic ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมฯ หรือสมาร์ทโฟนที่เราต้องใช้เกือบทั้งวันได้อีก จัดมาเด็ดดวงทีเดียว แถมยังใส่สารสกัดจากธรราชาติอย่าง Fernblock เพื่อป้องกันการดูดรังสีอุลตร้าไวโอเลสเข้าสู่ผิวหนัง ยับยั้งเซลล์ที่เกิดจากการอักเสบ ผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการแพ้แดง ลดอุบัติการการเกิดมะเร็งผิวหนังจากการทำลายของแสงแดด นับว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวไม่เสียความยืดหยุ่นและเกิดการเหี่ยวย่น ลดความหมองคล้ำและจุดด่างดำ ที่เกิดจาก UVA/UVB เป็นผลิตภัณฑ์คุ้มค่าที่ปกป้องผิวหนังอย่างแท้ทรูเลยหละครับ
JUNGSAEMMOOL PRE-TECT SUN Waterfull SPF50+ PA++++ |
เมื่อพูดถึงแบรนด์เกาหลีอันโด่งดังที่เพิ่งเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้วอย่าง JUNGSAEMMOOL หลายคนคงนึกถึงผลิตภัณฑ์กลุ่ม Makeup ที่ช่วยเนรมิตรผิว Glass skin ถูกไหมหละครับ แต่รู้ไหมว่าที่จริงแล้วปัจจัยหลักของการได้มาซึ่งผิว Glass Skin นั่นคือการบำรุงผิวซึ่งแน่นอนว่า Sunscreen ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น
ด้วยเนื้อสัมผัส และส่วนผสมในการมอบความชุ่มชื้นของ JUNGSAEMMOOL PRE-TECT SUN Waterfull SPF50+ PA++++ ทำให้ผิวเราชุ่มชื้นขึ้นอย่างมาก ทำให้การลงเมคอัพต่อจากนี้ทำได้ง่ายขึ้น และได้ผิวที่ดูสวยกำลังดี ส่วนในแง่ของการปกป้องผิวจากแสงแดดก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ทางแบรนด์เลือกใช้สารกันแดดที่มีประสิทธิภาพและค่อนข้างเสถียร
ข้อสังเกตุของกันแดดขวดนี้คือ Texture และ Effect ที่ได้หลังจากลงกันแดดจะให้ผิวที่ชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำ ทำให้เรากังวลว่าปริมาณที่เหมาะสมในการใช้ (2ข้อนิ้วกลางสำหรับทั่วใบหน้า-ลำคอ) อาจจะยากไปซักหน่อยสำหรับมนุษย์ผิวมันขอรับ
Kanebo ALLIE EXTRA UV GEL SPF50+ PA++++ |
นี่คือกันแดดอีกหนึ่งแบรนด์ที่เราใช้บ่อยไม่แพ้ Biore ในช่วงเรียนนั่นคือ Kanebo ALLIE EXTRA UV GEL SPF50+ PA++++ เพราะเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงกัน แต่ให้ความชุ่มชื้นได้ดีกว่า ไม่มีแอลกอฮอล์ แถมยังให้ผิวที่มันน้อยกว่า และที่ญี่ปุ่นชอบขายแบบ Duo Pack Size 90ml. ในราคาที่หารแล้วเหลือหลอดละ 9xx.- เรียกว่าใช้กันไปยาวๆ เลยหละ
แถมสารกันแดดที่ใช้ก็เป็นการผสมผสานระหว่าง Physical & Chemical Sunscreen ซึ่งแต่ละตัวที่ใช้ก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หวังผลในแง่การป้องกันผิวจากแสงแดดได้ทั้งนั้น ทำให้เราค่อนข้างไว้ในกันแดดตัวนี้ อ๋อ! กันแดดหลอดนี้เราว่าเค้าให้ผลทาง Cosmetics ด้วยนะ เพราะเรารู้สึกว่าทาแล้วแต่งหน้าต่อได้ง่ายขึ้นมากทีเดียวหละ
LA ROCHE-POSAY ANTHELIOS XL Anti-shine SPF50+ |
ใครที่กำลังมองหากันแดดที่ให้ผิวที่ค่อนข้างแมทเราว่า LA ROCHE-POSAY ANTHELIOS XL Anti-shine SPF50+ คืออีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจที่เดียว ถึงแม้ผลทดสอบความมันอาจจะสวนทางกับผลลัพธ์ไปบ้าง แต่เชื่อเถอะจากประสบการณ์การใช้กันแดดของเรา นี่คือกันแดดที่ค่อนข้างคุมมันได้ดีสมกับชื่อ Anti-shine แบบไม่มีข้อกังขาเลยหละ
ในแง่สารกันแดดต้องยอมรับว่าเค้าใส่มาแบบไม่มีกั๊กเลยจริงๆ กันแดดได้ครบทุกช่วง แถมยังมีความเสถียรมากทีเดียว แถมเรายังเคยหยิบกันแดดตัวนี้ ไปใช้ตอนไปเที่ยวทะเลที่ในวันที่ฟ้าเปิด แดดจัดประหนึ่งว่าซ้อมไปนรก แต่ปรากฏว่าผิวไม่เบิร์น ไม่คล้ำลงเลยแม้แต่นิดเดียว (แต่เรามีการล้างหน้าและทาซ้ำทุกๆ 4 ชม.) ดังนั้นถ้าใครถามเราเรื่องกันแดดในวันที่ต้องเจอแดดหนักๆ เรามักจะแนะนำน้องคนนี้เสมอๆ ด้วยความที่หาซื้อง่าย และชอบจัดโปรฯ เป็นกันแดดลูกรักอีกตัวนึงเลยหละครับ
แต่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะถึงแม้ว่าจะคุมมันได้ดีแต่ในแง่ของเนื้อสัมผัส-ความรู้สึกหลังทา เรารู้สึกว่ามีความหนัก และเหนอะหนะผิวอยู่พอสมควร ยิ่งในมุมของคนที่ชอบเลเยอร์กันแดดอย่างเรา ถือว่าเป็นกันแดดที่ทายากไม่น้อยเลยหละครับ แถมยังมีอาการ Ball-up(เป็นขุย) ได้ค่อนข้างง่ายทีเดียว
LA ROCHE-POSAY ANTHELIOS FLUID INVISIBLE(Non-perfuem) SPF50+ PA++++ |
กันแดดตัวล่าสุดของ LA ROCHE-POSAY อย่าง ANTHELIOS FLUID INVISIBLE(Non-perfuem) SPF50+ PA++++ ที่ปรับดีไซน์เนื้อสัมผัสออกมาได้เบาสบายผิว เหมาะกับสภาพอากาศในช่วงนี้สุดๆ ด้วยความที่เป็น Water-Based ทำให้เกลี่ยง่าย ซึมเข้าผิวได้ดี ไม่ทิ้งความเหนอะหนะไว้บนผิว
ส่วนในแง่ของประสิทธิภาพกันแดดขวดนี้ทำออกมาได้ดีทีเดียวแม้ว่าจะดูด้อยกว่ารุ่นพี่อย่าง ANTHELIOS XL Anti-shine ไปซักเล็กน้อย แต่สำหรับวันสบายๆ เราถือว่าเกินพอแล้วหละครับ อ๋อ! เห็น Texture เค้าเบาสบายผิวแบบนี้แต่เค้า Water Resistant นะเออ และก็ตามสไตล์กันแดดสมัยใหม่ที่มักจะใส่สาร Antioxidant เข้ามาเพื่อช่วยลดผลกระทบจาก Free Radical ที่เกิดจากรังสียูวีได้ในระดับนึงขอรับ
อ๋อ! สำหรับกันแดดตัวนี้จะมีด้วยกัน 2 สูตร คือ สูตร Non-Perfume ที่เราใช้และแบบมีน้ำหอม ซึ่งเราไม่ชัวร์ว่าสูตรไม่มีนี้มีจำหน่ายในไทยไหม ถ้าใครพอมีข้อมูลก็เม้นท์บอกกันหน่อยนะค๊าบ
PANPURI LOTUS DEFENSE Mineral Sunscreen SPF30 PAไม่ระบุ |
หากพูดถึงสกินแคร์แบรนด์ไทยที่ก้าวมาอยู่ในระดับสากล และมีความโดดเด่นในเรื่องส่วนผสมแล้วหละก็ PANPURI คือ ชื่อแรกที่เรานึกถึง ด้วยความใส่ใจในการเลือกส่วนผสม พยายามตัดส่วนผสมที่เป็นอัตรายต่อผิวออก และเลือกใช้สารสกัดที่เป็นออร์แกนิคที่ได้จากธรรมชาติให้ได้มากที่สุดอย่าง PANPURI LOTUS DEFENSE Mineral Sunscreen ขวดนี้ที่ใช้สารกันแดดแบบ Physical ล้วนที่ค่อนข้างปลอดภัยกับผิว
แถมยังมีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเบา สบายผิวทั้งๆ ที่มาในรูปแบบครีม ทำให้เราประหลาดใจอยู่ไม่น้อย และถึงแม้ว่าค่า SPF ของกันแดดขวดนี้จะอยู่ 30 แต่เมื่อพิจารณาจากหลักการด้านบนจะพบว่าความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ที่ SPF 30-50 นั้นแทบไม่แตกต่างกันเลยหละครับ ดังนั้นสำหรับเราแล้วกันแดดขวดนี้เพียงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน แถมยังมีสารสกัดจากน้ำดอกบัว เมล็ดดอกบัว และสาหร่ายสีแดงที่ช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยชะลอการเจริญของเม็ดสี Melanin ยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase enzyme ได้อีกด้วย
SHISEIDO Perfect UV Protector SPF50+ PA++++ |
เมื่อพูดถึงกันแดดฝั่งญี่ปุ่นตัวที่ไม่หยิบมาพูดถึงไม่ได้คงจะหนีไม่พ้น SHISEIDO Perfect UV Protector ที่ล่าสุดเพิ่งมีการปรับสูตรใหม่เพิ่มเทคโนโลยี "SynchroShield" คือการรวม 2 เทคโนโลยีอย่าง
ในแง่สารกันแดดเรียกว่ายกทัพ "สารกันแดด A List" มารวมไว้ในขวดนี้ได้อย่างลงตัว กันได้ครบทั้ง UVA-I, UVA-II และ UVB แถมยังมีความเสถียรที่สูงมากทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานระหว่างสารกันแดดกลุ่ม Physical และ Chemical Sunscreen ทำให้ประสิทธิภาพการกันแดดสูงทะลุเกณฑ์ไปเลยหละครับ
แม้ว่ากันแดดขวดนี้จะทรงประสิทธิภาพแต่เรายังมีข้อสังเกตุเล็กๆ ในเรื่องน้ำหอม แอลกอฮอล์ และ ซิลิโคนที่ใส่เข้ามา ถ้าทางแบรนด์ตัดส่วนผสมเหล่านี้ออกไปได้เราว่านี่คือกันแดดที่ดีที่สุดตัวนึงที่เรามีเลยหละครับ!!
Ultrasun Face Anti-Ageing Lotion SPF50+ PA++++ |
และแล้วก็เดินทางมาถึงกันแดดตัวสุดท้ายของบทความนี้นั่นคือ Ultrasun Face Anti-Ageing Lotion SPF50+ PA++++ ต้องบอกว่าเป็นกันแดดที่อยู่นอกสายตาเราตัวนึงเลยหละ แต่ล่าสุดเราได้รับการป้ายยาจากพี่ Blogger ท่านนึงว่ากันแดดได้ดีมากๆ พอได้ยินแบบนี้ก็หูผึ่งซิงานนี้ สุดท้ายก็ได้มามาจนได้
ซึ่งถ้าพูดถึงในแง่ของสารกันแดดก็ต้องยอมรับว่าใส่มาครบ กันได้ครบทุกช่วง UV ส่วนในเรื่องความเสถียรก็ทำได้ดีตามระเบียบ แถมยังกันน้ำ กันเหงื่อได้อีก ดูรวมๆ ก็เหมือนจะดีพร้อมทุกด้านจริงไหมหละครับ
แต่จากที่เราลองใช้หลายครั้งพบว่า Texture ค่อนข้างหนัก เกลี่ยค่อนข้างยาก ต้องเน้นเพิ่มความชุ่มชื้นสูงๆ ก่อนใช้กันแดดขวดนี้ แถมยังมีโอกาส Ball-up(เป็นขุย) ได้ง่ายม๊ากก นับว่าเป็นกันแดดที่เอาใจยากและใช้ลำบากอีกตัวนึงเลยหละครับ
ต้องยอมรับว่ากันแดดแต่ละแบรนด์ก็มี "ข้อดี-ข้อเสีย" ที่แตกต่างกันและแน่นอนว่าการใช้จริงบนผิวหน้าของแต่ละคนก็ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจุดประสงค์ในการทำบทความนี้เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อกันแดดเบื้องต้น โดยอ้างอิงจากส่วนผสมของสารกันแดด เทคโนโลยี เนื้อสัมผัส ราคา/ปริมาณ เป็นหลัก
เริ่มทดสอบความมันของกันแดดบนแผ่นฟิล์มซับมัน |
สำหรับในเรื่อง "ความมัน" ที่เพื่อนๆ ได้เห็นในกันแดดแต่ละตัว เราทดสอบแบบหยาบๆ ด้วยการหยดกันแดดลงบนแผ่นฟิล์มซับมัน แล้วทิ้งไว้ 3 ชม. เพื่อทำการเปรียบเทียบความมันของแต่ละแบรนด์ แล้วนำมาสรุปให้เห็นเป็นภาพง่ายๆ
ผลลัพธ์หลังผ่านไป 3 ชม. |
ผลลัพธ์หลังผ่านไป 3 ชม. เป็นดังภาพด้านบน แต่อย่างที่เราบอกไปแล้วว่านี่คือการทดลองแบบหยาบๆ ซึ่งไม่สามารถเทียบกับการใช้จริงบนผิวของแต่ละคนได้ ดังนั้นดูเพื่อเป็นข้อมูลคร่าวๆ ประกอบการตัดสินใจแล้วกันนะครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ในการเลือกกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองนะครับ ยังไงเราก็ขอทิ้งท้ายไว้ซักเล็กน้อยว่า "กันแดดจะมีประสิทธิภาพตามที่แบรนด์เคลมไว้ ก็ต่อเมื่อเราทาในปริมาณที่เหมาะสม (ประมาณ 2 ข้อนิ้วกลางทั่วใบหน้าและลำคอ) และทาซ้ำทุกๆ 2-4 ชม. เมื่อต้องออกแดดจัด อยู่กลางแจ้งหรือเหงื่อออก เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่าลืมใช้ Makeup Remover ทุกครั้งหลังทากันแดด เพราะไม่ว่ากันแดดจะบางเบาแค่ไหนก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการอุดตันได้ขอรับ"
Thanks