จากกฏหมายคุ้มครองนโยบายความเป็นส่วนตัว ทางเว็บไซต์ www.cosmenet.in.th ขออนุญาตเก็บ ข้อมูลเพื่อนำไปใช้พัฒนาการให้บริการทางเว็บไซต์ ท่านสามารถอัปเดตข้อมูลส่วนตัว และทำความเข้าใจก่อนการยินยอมได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตกลงเราเชื่อว่าการมีสุขภาพผิวดีคือสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันจะได้มาครอบครอง แต่ในความเป็นจริงมันมักจะไม่เป็นอย่างที่วาดฝันเอาไว้ บ้างก็เจอปัญหาผิวแห้ง-ลอก ระคายเคือง แพ้ง่ายและปัญหาผิวด้านอื่นๆ อีกเพียบที่ต่อคิวเข้าแถวยาวเป็นหางว่าวจนเราจับต้นชนปลายไม่ถูก มันจะดีกว่าไหมถ้าหันมาทำความรู้จักกับผิวของเราให้มากขึ้นโดยเฉพาะ Skin Barrier ที่ทำหน้าที่ดูแลผิวเรามาตลอด
Skin Barrier คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรกับผิว ?
Skin Barrier เป็นโครงสร้างผิวชั้นนอกสุดซึ่งประกอบด้วยโปรตีนและไขมันเรียงตัวแบบ bricks and mortar (คล้ายอิฐและปูน) เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย หากการยึดเกาะกันของอิฐและปูนมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ การที่จะเกิดการรั่วไหลไม่ว่าจะจากภายใน(ความชุ่มชื้น) หรือภายนอก(สิ่งแปลกปลอม) ก็เกิดได้ยากขึ้น
นอกจากนี้มันยังมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 5.7 ด้วยความเป็นกรดอ่อนๆ นี้เองจึงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส แบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ ที่เข้ามาทำอันตรายต่อผิวและอาจทำให้ผิวเกิดการติดเชื้อ ดังนั้นการรักษาสมดุลของค่า pH บนผิวจึงส่งผลต่อการป้องกันผิวจากปัจจัยภายนอกและช่วยให้กระบวนการรักษาบาดแผลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รู้ได้อย่างไรว่า Skin Barrier กำลังเสียสมดุล ?
อย่างที่เราเกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า Skin Barrier เป็นโครงสร้างผิวที่อยู่ชั้นนอกสุด ดังนั้นวิธีสังเกตก็ค่อนข้างง่ายโดยให้สังเกตผิวโดยรวมหากมีอาการผิดปกติ เช่น ผิวแห้ง-ลอก มีอาการคัน ผิวไม่เรียบเนียน รวมถึงมีการก่อตัวของสิวหรือมีอาการอักเสบหรือระคายเคืองในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หากมีอาการใดอาการหนึ่งดังที่กล่าวมาก็พอจะเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าปราการผิวของเราอ่อนแอลงและกำลังถูกรบกวนด้วยปัจจัยบางประการนั่นเอง
ในเมื่อเรารู้วิธีสังเกตสภาพผิวที่เสียสมดุลของ Skin Barrier กันไปแล้วก็ถึงคราวที่ต้องเข้าใจถึงวิธีการที่จะฟื้นฟูปราการผิว ให้มีสุภาพดี แข็งแรงและทำหน้าที่ได้อย่างปกติกันบ้าง ดังนั้นเราเลยสรุปให้เห็นภาพง่ายๆ ดังนี้ :
- ความเรียบง่ายคือคำตอบ : หลายครั้งที่เรารบกวนสมดุลของ Skin Barrier ด้วยความซับซ้อนของส่วนผสมและขั้นตอนที่มากมายใน Skincare Routine จนอาจทำให้ปราการผิวของเราอ่อนแอลง
- ใส่ใจกับค่า pH : ด้วยความที่ค่า pH บนผิวเรามีความเป็นกรดอ่อนๆ ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิวจึงเป็นการรักษา Balance ของค่า pH บนผิวได้ดีที่สุด
- เสริมความแข็งแรงของปราการผิว : ด้วยความที่โครงสร้างของผิวชั้นนอกอย่าง Stratum Corneum นั้นมีองค์ประกอบของชั้นที่เป็นไขมัน(Lipids) ดังนั้นการเสริมชั้นผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอย่าง Cholesterol, Free Fatty Acids (FFAs) และ Ceramides จะช่วยให้ปราการผิวมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย hyaluronic acid : อย่างที่เรารู้กันดีว่า hyaluronic acid นั้นมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ แถมความชุ่มชื้นยังมีส่วนทำให้ริ้วรอยแลดูจางลง
- ผลัดเซลล์ผิวอย่างเหมาะสม : การผลัดเซลล์ผิวเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่อง Cell Turnover แต่ทั้งนี้ก็ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นเหมาะสม และปรับใช้ในความถี่ที่พอดีกับผิว โดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แสบ แดง ลอก เป็นต้น
และที่สำคัญคือต้องไม่ลืม ปกป้องผิวจากรังสี UV เพราะถือเป็นหนึ่งศัตรูตัวฉกาจที่ก่อให้เกิดปัญหาผิวนับไม่ถ้วน ที่เรามักได้ยินคนพูดกันว่า Photo Aging ดังนั้นการทากันแดดในปริมาณที่เหมาะสม(ประมาณ 2 ข้อของปลายนิ้วกลาง) เป็นประจำและควรทาซ้ำทุก 2-4 ชั่วโมงเมื่อต้องเผชิญกับรังสี UV
เราเชื่อว่าตอนนี้เพื่อนๆ คงเข้าใจเรื่อง Skin Barrier มากขึ้นแล้วและคงมีหลายคนกำลังมองหาไอเทมที่ช่วยซ่อมแซมปราการผิวที่ถูกทำร้าย พร้อมปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อม ซึ่งเราค้นพบว่าแบรนด์ mesoestetic มีผลิตภัณฑ์ที่ดูแลและเสริม Skin Barrier ได้อย่างคลอบคลุมทั้งในแง่ การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน รักษาสมดุลของค่า pH และจุลินทรีย์บนผิวให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเติมความชุ่มชื้นและล็อคความชุ่มชื้นในผิวได้ยาวนาน อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและเสริมความแข็งแรงของปราการผิวได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราเลยขอหยิบไอเทมฟื้นฟู Skin Barrier ทั้ง 4 ตัวจาก mesoestetic มาแนะนำให้ชมกันฮะ
hydracream fusion (100ml./1,990.-)
เราขอเริ่มจาก hydracream fusion ครีมทำความสะอาดผิวที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ลองใช้ด้วยเนื้อครีมที่นุ่ม ละมุน เมื่อนวดวนบนผิวซักพักจะเปลี่ยนเป็นเนื้อออยล์ ช่วยดึงความมันส่วนเกินพร้อมสิ่งสกปรกบนผิวให้หลุดออกไปได้อย่างอ่อนโยน ล้างออกแล้วไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ที่คัญคือมีส่วนผสมจาก post biotic ที่ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์บนผิวและปรับค่า pH บนผิวให้เป็นปกติทำให้ผิวโดยรวมแข็งแรงขึ้น พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะด้วย Urban D-Tox ไอเลิฟ!
hydra-vital mask (100ml./2,690.-)
ตามด้วย hydra-vital mask มาสก์สาย Support ที่เข้ามาช่วยกู้ผิวของเราในยามที่ผิวพังหลายต่อหลายครั้งด้วยส่วนผสมอย่าง Viola tricolor extract, Sodium Hyaluronate และ lactobacillus ferment ที่เข้ามาช่วยเติมความชุ่มชื้นพร้อมปลอบประโลมผิวที่แห้งกร้าน-ระคายเคือง ขาดความยืดหยุ่นและยังช่วยปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง ทำให้โอกาสเกิดการแพ้-ระคายเคืองนั้นยากขึ้น พร้อมช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะด้วยส่วนผสม Urban D-Tox
ha densimatrix (30ml./3,490.-)
ha densimatrix ไฮยาเซรั่มเข้มข้นอันโด่งดังของแบรนด์ที่อัดแน่นด้วยสารสกัดอย่าง HA Densimatrix Complex จากกรดไฮยาลูโรนิกถึง 4 ขนาดโมเลกุลที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าแล้ว ยังมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวหน้าจากการสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดริ้วรอย เสริมทัพด้วย Marshmallow Extract และ Malachite Extract ช่วยคงสภาพของไฮยาลูโรนิก, คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวให้อยู่ได้นานขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและยืดหยุ่นขึ้น
hydra vital light (50ml./3,490.-)
ปิดท้ายด้วย hydra vital light มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลที่มีความบางเบาแต่อัดแน่นไปด้วยส่วนผสมอย่าง ha complex ที่ผสาน HA 3 โมเลกุลได้แก่ HA cross-linked, HA high molecular weight และ HA medium molecular weight จึงช่วยให้ผิวชุ่มชื้นทันทีที่ทาและยังช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำในชั้นผิว ให้ผิวรู้สึกชุ่มชื้นยาวนาน แถมยังได้ส่วนผสมสุดชิคอย่าง urban D-tox และ barrier function reinforcement ที่เข้ามาเสริมเรื่องการป้องกันผิวจากมลภาวะ และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวอย่างได้ลงตัว
ได้เวลาซ่อมแซมผิว...
อย่างที่เราเกริ่นไปแล้วว่าทาง mesoestetic เค้ามีไอเทมที่ดูแลเรื่องการซ่อมแซม Skin Barrier ได้ค่อนข้างครบครัน เพราะงั้นเราเลยสรุปขั้นตอนการใช้ผลิตภัณฑ์เป็น Step by Step มาเป็น infographic เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
เป็น 4 ขั้นตอนที่ค่อนข้างเรียบง่ายเหมือนที่เราเคยบอกไว้ว่า ความเรียบง่ายคือคำตอบ ซึ่งแบรนด์ mesoestetic ก็สามารถทำให้คำนี้เกิดขึ้นได้จริงด้วยผลิตภัณฑ์อย่าง hydracream fusion, hydra-vital mask, ha densimatrix และ hydra-vital light ที่ดีไซน์ออกมาให้ใช้ร่วมกันแล้วเสริมประสิทธิภาพของกันและกันได้อย่างลงตัว
เราแอบเก็บภาพผลลัพธ์หลังใช้ทั้ง 4 ไอเทมในช่วงหลังจากที่เพิ่งหายป่วย(ปราการผิวพังมาก!) ซึ่งเราได้เอาภาพมาเทียบกันแล้วก็พบว่า..ผิวโดยรวมมีความชุ่มชื้นที่ดีขึ้น แสดงให้เห็นทั้งในรูปแบบความสมดุลของน้ำกับน้ำมันบนผิว รวมถึงความกระจ่างใสที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนถึงกับต้องเก็บภาพมาให้ซูมกันชัดๆ แบบไม่รีทัช!
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าในช่วงที่เราไม่สบายเราแทบไม่ได้ดูแลผิวเลย จึงเป็นสาเหตุให้ปราการผิวเกิดการเสียสมดุล รวมถึงความชุ่มชื้นในผิวก็แปรปรวนขั้นสุดดังนั้นการดูแลแบบเต็มอัตราแบบนี้จึงช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายให้กลับมาแข็งแรง ชุ่มชื้น แลดูสดใสได้อย่างรวดเร็วฮะ
แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้น Based-on สภาพผิว การดูแลตัวเอง ไลฟ์สไตล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ร่วมกันเป็นหลัก ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้ย่อมแตกต่างกันไปกันไปตามแต่ละบุคคล / ส่วนคำถามที่ว่าใช้แล้วจะแพ้ไหม จะระคายเคืองหรือไม่นั้น เราไม่สามารถตอบได้เนื่องจากอาการแพ้-ระคายเคืองนั้นมีปัจจัยการเกิดที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใดก็ตามเราแนะนำให้ทดสอบอาการแพ้ที่บริเวรท้องแขนหรือลำคอเพื่อสังเกตอาการแพ้ก่อนใช้บนใบหน้าขอรับ