จากกฏหมายคุ้มครองนโยบายความเป็นส่วนตัว ทางเว็บไซต์ www.cosmenet.in.th ขออนุญาตเก็บ ข้อมูลเพื่อนำไปใช้พัฒนาการให้บริการทางเว็บไซต์ ท่านสามารถอัปเดตข้อมูลส่วนตัว และทำความเข้าใจก่อนการยินยอมได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตกลงโดยน้ำหนักไขมันที่เข้าไปแทรกตับนั้นมักเป็นชนิดไตรกลีเซอไรด์ ภาวะนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติ และไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด แต่อาจเป็นภัยเงียบที่อาจไม่รู้ตัวและบ่งชี้ถึงโรคอื่นๆ ได้ โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยมีอาการแสดง แต่บางครั้งอาจมีอาการจุกแน่น ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก แต่หากปล่อยให้เป็นระยะเวลานานมากยิ่งขึ้น มีการอักเสบเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดตับแข็ง แต่ใช้เวลานานระยะเวลาที่เกิดอาการตับแข็ง จากภาวะไขมันพอกตับคือ 10-15 ปี ได้
กลไกการเกิดโรคไขมันพอกตับ
ตับทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่เก็บสะสมพลังงาน การรับประทานอาหารมากเกินไปทำให้เกิดไขมันก่อตัวขึ้นในตับ เมื่อตับไม่ได้นำไขมันไปใช้หรือไม่ย่อยสลายไขมันตามที่ควรจะเป็นก็จะเกิดไขมันสะสมขึ้นที่ตับ ในผู้ที่มีภาวะของโรคอื่นๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การรับประทานหวานหรือบริโภคน้ำตาลมาก และภาวะขาดสารอาหารก็อาจทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้ ก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ อย่างไรก็ตามอาจมีผู้ป่วยบางรายที่เกิดไขมันพอกตับได้โดยไม่มีโรคเหล่านี้เลย
สาเหตุการเกิดโรคไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1. จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ ระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ไขมันเข้าไปพอกในตับมากขึ้นได้เช่นกัน
2. จากปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น...
2.1 กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานสูงของร่างกาย (metabolic syndrome) เช่น ภาวะอ้วน อ้วนลงพุง น้ำหนักตัวมากเกิน (ดัชนีมวลกายหรือ BMI 25-30) โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง
2.2 โรคบางอย่างทำให้ไขมันพอกตับเพิ่มขึ้นได้ เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ความดันเส้นเลือดตีบตัน โรคหัวใจ
2.3 การรับประทานอาหารที่มีรสหวานมากเกินไปเป็นประจำ เช่น แป้ง น้ำตาล ไขมัน ดื่มน้ำที่มีรสหวานแทนน้ำเปล่า
2.4 ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ย-าคุ-มกำเนิด ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง เช่น ยารักษามะเร็งเต้านม ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาต้านไวรัสบางชนิด ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากลุ่มต้านฮอร์โมน ฮอร์โมนบางอย่าง
อาการโรคไขมันพอกตับ
โดยทั่วไปโรคไขมันพอกตับไม่ทำให้เกิดอาการทางร่างกาย ผู้ที่เป็นมักไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการแสดงออก และเมื่อมีไขมันพอกตับสะสมอยู่เป็นปริมาณมาก จะทำให้เซลล์ตับมีการบวมและ 10-20% ของผู้มีไขมันพอกตับจะเกิดอาการตับอักเสบได้ มักจะตรวจพบจากกรตรวจเลือดประจำ หรืออัลตราชาวด์ หรือหากมีอาการก็อาจเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากพอที่จะบ่งบอกโรคได้ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา และ 90 % มาจากภาวะอ้วน หรืออ้วนลงพุง โดยส่วนใหญ่การตรวจพบโรคไขมันพอกตับจึงมักพบเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่นๆ
รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีไขมันพอกตับ?
การตรวจพบโรคไขมันพอกตับ แบ่งระยะได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ
ระยะที่สอง เป็นระยะที่ริ่มมีอาการอักเสบของตับ หากไม่ควบคุมดูแล และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
ระยะที่สาม การอักเสบรุนแรงต่อเนื่องเกิดพังผืด (brosis) สะสมในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลงแทนที่ด้วยพังผืด
ระยะที่สี่ เชลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่สามารถทำงนได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้เกิดตับแข็งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
การวินิจฉัย
1. ประเมินจากประวัติสุขภาพ และการตรวจเลือดดูค่าเอนไซม์ตับ
2. การตรวจอัลตร้าซาวด์
3. การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
4. การเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจ
5. การตรวจระดับความแข็งของตับและวัดปริมาณไขมันในตับด้วยเครื่อง Fibro Scan
แนวทางในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคไขมันพอกตับ
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที หากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิคและแบบมีแรงต้าน เช่น เดินเร็วครึ่งชั่วโมง การวิ่ง การปั่นจักรยาน เป็นต้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่น อาหารที่มีไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ
- หากเป็นเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคให้ดีด้วยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์ ที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
https://www.vichaiyut.com/th/medical-centers/gastrointestinal-and-liver-center
ในปัจจุบันสถิติคนไทยร้อยละ 25- 30 หรือ 1 ใน 4 ของประชากร ส่วนใหญ่เป็นไขมันพอกตับ สาเหตุหลักๆมาจากการรับประทานอาหาร การดื่มแอลกอฮอล์
เนื่องจากในปัจจุบันประชากรที่มีภาวะอ้วนลงพุง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ด้วยพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และรับประทานอาหารไม่ถูกหลักตามโภชนาการ จึงส่งผลให้เกิดไขมันพอกตับ หรือที่ใครหลายคนเรียกว่าไขมันเกาะตับ ตับคั่งไขมัน (Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) ซึ่งเป็นภาวะไขมันคั่งในตับ เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำไขมันที่รับประทานเข้าไปมาใช้ได้หมด จึงสะสมเป็นไขมันในรูปไตรกลีเซอไรด์ในตับ ที่มีลักษณะของไขมันแทรกซึมสะสมภายในเนื้อตับ และเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยส่วนใหญ่จะเกิดอาการตับอักเสบ จนเกิดพังผืด เมื่อสะสมเยอะขึ้นทำให้กลายเป็นตับแข็ง หากไม่ได้รับการรักษาในอนาคตผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้เกิดโรคมะเร็งตับได้
ปัจจุบันการลดน้ำหนัก การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมตามปกติ เป็นแนวทางในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคไขมันพอกตับที่ดีที่สุด และได้มีการศึกษาเรื่องยาที่จะนำมารักษาไขมันพอกตับ เช่น ยารักษาเบาหวาน กลุ่มวิตามินอี เชื่อว่าเป็น Antioxidant และช่วงหลังเริ่มจะมีกลุ่มยาเบาหวานบางชนิด อาจจะลดระดับน้ำตาลได้ไม่มากแต่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงได้เยอะ อาจจะมีความหวังสำหรับคนที่เป็นไขมันพอกตับได้ในอนาคต
การดื่มแอลกอฮอล์จัดจะนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคมะเร็งตับตามมา แต่กรณีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซีจะไม่นำไปสู่ภาวะตับแข็ง แต่จะนำไปสู่มะเร็งตับได้เลย ดังนั้นจึงการตรวจคัดกรองมะเร็งตับจึงเป็นเรื่องสำคัญ
อาการของมะเร็งตับ
ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ แต่มักจะตรวจพบเวลาที่ไปตรวจร่างกายด้วยอัลตราซาวด์ หรือตรวจพบความผิดปกติของระดับโปรตีนบางชนิดในเลือด ส่วนมากจะเป็นคนที่มีไวรัสตับอักเสบ หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับที่ไปตรวจอัลตราซาวด์ ซึ่งหากโชคดีตรวจเจอมะเร็งตับระยะเริ่มแรก ซึ่งจะมีขนาดเล็กๆ ไม่กี่เซนติเมตร แต่เมื่อมะเร็งมีขนาดโต เช่น มากกว่า 8 – 10 เซนติเมตร ก็จะทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ทานอาหารไม่ได้ ปวดแน่นท้องบริเวณด้านขวาหรือบริเวณลิ้นปี่ อาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ขวา อาจคลำพบก้อนในท้องใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่ในบางคนที่มีโรคตับแข็งร่วมด้วย และหากมะเร็งตับลุกลามมากอาจพบว่ามีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องมาน บางคนอาจจะมีอาเจียนออกมาเป็นเลือด
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B หรือ ชนิด C แบบเรื้อรัง ภาวะตับแข็ง ซึ่งอาจเกิดจากไวรัส หรือสาเหตุอื่นๆ โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายปี เชื้อราชนิด Aflatoxin ซึ่งมีมากในอาหารพวกถั่ว พริก ที่เก็บเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ และนำมารับประทานโดยไม่ผ่านความร้อน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่พบได้ แต่ไม่ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงชัดเจนมาก เช่น โรคเบาหวานที่มีไขมันสะสมในตับมาก การสูบบุหรี่ หรือผู้ที่เป็นโรคทางเดินน้ำดีอักเสบ ซึ่งไม่ค่อยพบในประเทศไทย
แหล่งที่มา
1. https://www.youtube.com/watch?v=llNNz58lLww
2. https://www.youtube.com/watch?v=HGrP7Q0Tr9g
3. https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/fatty-liver-disease
4. https://www.bumrungrad.com/th/conditions/fatty-liver-disease
5. https://www.cmu.ac.th/th/article/1ce1824b-d6d4-473f-ab07-015aed8a1a43
สนใจสั่งซื้อ จาก Winona Probio
หรือสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ Probiotic
เพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-821-5501
LINE@ : https://page.line.me/khq1649x?oat__id=2226228&openQrModal=true
Facebook : https://www.facebook.com/WinonaProbio
Youtube : https://www.youtube.com/@bywinonaprobiotics2569
E-mail : info@winonafeminine.com
Website : https://winonaprobio.com/
1 / 2