เพียง 2 ชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองอุทัยธานี กับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง ของคนอุทัยฯ ในความเย็นระดับเหนือกรุงเทพฯ ใต้กำแพงเพชร นครสวรรค์ กับเสน่ห์ของตึกเก่า เรือนแพในแม่น้ำสะแกกรัง และขุนเขายาวเหยียดที่เป็นส่วนหนึ่งของป่าตะวันตกผืนใหญ่ ป่าที่รวมความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้จนนักอนุรักษ์ต้องออกมาปกป้องดูแลกันจนเป็นข่าว
ด้วยทั้งหมดที่บอกมา ดัชนีความสุขจึงบอกว่า เมืองอุทัยธานีคือหนึ่งในเมืองที่ประชาชนมีความสุขเป็นอันดับ 5 ของประเทศเลยทีเดียว โดยมีคะแนนเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยจากอันดับ 1 ต่างกันไม่ถึง 10% และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านี้ ก็คือ หนาวนี้ไม่ต้องไปไหนไกลเลย เพราะเมืองอุทัยหนาวก่อนกรุงเทพฯ หนาวนานกว่า และหนาวมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อขับรถจากตัวเมืองอุทัยลงไปทางอำเภอบ้านไร่ ที่อยู่ติดกับอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จากตัวเมืองอุทัย หรือใช้เวลา 2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ก็เลือกเอาว่าจะไปแวะที่อำเภอบ้านไร่ก่อน หรือจะเข้าเมืองอุทัยก่อน แต่จำเป็นจริงๆ ที่ต้องไปให้ถึงทั้ง 2 จุดหมาย และพลาดไม่ได้กับการแวะเที่ยวระหว่างทาง ตามลายแทงนี้เลย
หนาวสไตล์เรโทรที่โรงแรมพิบูลย์สุข
ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด แต่นี่คือที่สุดของที่พักแนวๆ ที่นอกจากจะสะอาดมากๆ ตกแต่งเรียบๆ สไตล์ย้อนยุคแบบไม่ได้ใส่ความเป็นฟิวชั่นลงไป คือออริจินอลจริงๆ แล้วยังอยู่ในจุดที่สามารถเดินเที่ยวเมืองอุทัยได้สบาย ไม่มีหลงทาง ยิ่งถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าหนาวแล้วอยากประหยัดจริงๆ ก็นอนห้องพัดลมที่ตกแต่งเหมือนห้องแอร์ สะอาดเท่ากัน วิวได้แบบเดียวกัน คือวิวเมืองหรือวิวลานจอดรถติดแม่น้ำ ในราคาหลักร้อย ที่ต่ำกว่า 500 บาท ทั้งห้องแอร์และพัดลม! ไม่มีอาหารเช้า แต่หน้าโรงแรมมีร้านอาหารดีไซน์เก่าเก๋เหมือนกัน หรือจะเดินเลี้ยวขวาไปหาของกินก็เยอะมาก จากโรงแรมไปถนนคนเดินตรอกโรงยาและตลาดริมแม่น้ำสะแกกรัง ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที แต่ถ้าคุณอยากได้อารมณ์ธรรมชาติมากกว่าเมือง ก็มีรีสอร์ทริมแม่น้ำอย่าง พญาไม้ที่เดินไกลอีกนิดข้ามแม่น้ำมาได้เหมือนกัน
มื้อเช้าหนาวๆ ในเมืองอุทัยธานี
ตื่นแต่เช้ามืดให้ทันใส่บาตรพระ พ่นควันออกจากปากสักที แล้วเดินไปตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง จะได้บรรยากาศที่หาได้ยาก ทั้งของที่ตั้งโต๊ะขายและแบกับพื้น ซึ่งเป็นผัก ปลา พื้นบ้าน ไม่ใช่ตลาด Set up ตามตลาดน้ำบางแห่ง แล้วจะมีพระพายเรือมารับบิณฑบาตรที่ริมแม่น้ำ โดยมีฉากหลังเป็นพระอุโบสถเก่าแก่งดงามของวัดอุโปสถารามตั้งอยู่ริมน้ำฝั่งตรงข้าม
จากนั้นก็หากาแฟดื่มกันดีกว่า มีร้านกาแฟมากมาย ลองเดินหาลองชิมสนุกๆ ในความเย็นที่ไม่มีเหงื่อตก เพราะตัวเมืองอุทัยฯไม่ใหญ่โต เดินได้สบาย หาซื้อกาแฟร้อนๆ สักแก้วกับปาท่องโก๋มานั่งพักดื่ม คุย ริมน้ำ มีร้านเก่าแก่แนะนำอย่างกาแฟป้าทอง เป็นกาแฟโบราณ ไม่มีคาปูชิโน่ ลาเต้ หรือเอสเพรสโซ่ สั่งได้แต่หวานน้อยหวานมากหรือกาแฟดำ เข้ม หอม อร่อยแบบไทยๆ เข้าบรรยากาศ แต่ถ้าใครอยากได้มื้อหนักๆ ให้เดินตามหาร้านข้าวมันไก่โกตี๋ ร้านนี้อร่อยหลายอย่าง และบางอย่างอาจไม่ถูกใจนัก แนะนำพวกน้ำแกง ตุ๋นยาจีนมาทานกับข้าวด้วย อร่อยดี ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่ควรไปแวะชิมกันดู
ออกเดินทางไปหุบป่าตาด
จากตัวเมืองอุทัยลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ เลี้ยวขวาทางไปอำเภอลานสัก แล้วเลี้ยวซ้ายไปหุบป่าตาด เพียงเวลาไม่ถึงชั่วโมง เราจะพบกับเขาหินปูนตั้งตระหง่านสลับซับซ้อนในทิวทัศน์ของทุ่งข้าวโพดและไร่สับปะรด โดยมีถ้ำแห่งหนึ่งในการดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าถ้ำประทุน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Unseen Thailand หรือบ้างก็เรียกที่นี่ว่า จูราสสิคพาร์ค เพราะเป็นป่าโบราณที่เต็มไปด้วยต้นตาด จึงได้ชื่อว่า "หุบป่าตาด" นั่นเพราะเมื่อเดินรอดถ้ำแห่งนี้เข้าไปในเพียงไม่ถึง 5 นาที ก็จะพบกับป่าโบราณกับเส้นทางศึกษาธรรมชาติ โดยมีหุบเขาหินปูนโอบล้อมสูงตระหง่าน อยู่ทุกด้าน ทำให้ภายในเป็นระบบนิเวศน์แบบปิด จึงทำให้ต้นไม้โบราณอย่างต้นตาดและไม้อื่นๆ เติบโตย้อนยุคกันอยู่ในนี้ แต่ก็ไม่มีไดโนเสาร์ล้านปีหรอกนะ ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ อาจเดินกันแบบจินตนาการน่ากลัวนิดหน่อย ว่าหลงเข้ามาในยุคจูราสสิค ก็สนุกดี
ไปอาบน้ำแร่ริมอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว
ไกลออกมาอีกนิดบนเส้นทางที่บอกได้เลยว่าสวยและโดดเดี่ยวมาก เพราะจะสวนกับรถยนต์ไม่บ่อยนัก มีสายน้ำ บ้านเรือนและป่าเขาอยู่ข้างทาง จนมาถึงที่นี่ อ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี ที่มีบริการบ้านหลังเล็กๆหลายหลังสำหรับการอาบน้ำแร่เป็นการส่วนตัว ทั้งขนาด 4-5 คน ไปจนถึงบ่อใหญ่ลงได้เป็นสิบคน หรือถ้าไม่อยากลงทั้งตัวก็มีอ่างสำหรับนั่งแช่เท้าชมธรรมชาติอยู่ด้านนอก ถ้าเดินจนเมื่อยล้ามาจากในเมือง ก็นั่งแช่เท้าเสียหน่อย ผ่อนคลาย และเพลินมาก ใช้เวลาอยู่ตรงนี้สักชั่วโมงกำลังดี แต่ถ้าอยากนอนค้างก็มีบ้านพักให้บริการที่ริมอ่างเก็บน้ำด้วย อากาศเย็นๆ กับน้ำอุ่นที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ สบายจริงๆนะ
ถึงที่พัก อำเภอบ้านไร่ ที่ไร่เขาโอบเรา
รถหว่างทางจนถึงที่พักในอำเภอบ้านไร่ ใครๆ ต่างตกหลุมรักสองข้างทางที่งดงามด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน ยาวเหยียด และไร่สับปะรด ไร่อ้อย พืชเศรษฐกิจของที่นี่ จากนั้นรถจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางสะเทือนก้นนิดหน่อย แม้ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อแต่ก็เป็นดินแดง ที่หากไปหลังฝนไม่นานอาจขรุขระเป็นพิเศษ ด้วยฝุ่นแดงๆ หนาๆ ที่ผิวถนนได้ถูกน้ำชะไปซะจนกลายเป็นหินก้อนเล็กๆ ที่ต้องบอกว่าหากยางรถแข็งแรงดีก็ไม่ต้องห่วง
มาอำเภอบ้านไร่ต้องนอนที่นี่บอกเลย เพราะว่าอยู่ใกล้กับน้ำตกปางสวรรค์มากๆ และเป็นน้ำตกที่ใช้เวลาเดินเข้าไปเพียงเล็กน้อย คนไม่เยอะ จึงส่วนตัวและสะอาด นอกจากนี้ที่พักยังแวดล้อมไปด้วยขุนเขาและทุ่งดอกอ้อ งดงามในทุกช่วงเวลาของวัน แม้จะมีห้องพักไม่เยอะมาก แต่ก็มีพื้นที่กว้างสำหรับกางเตนท์ กับผ้านวมนุ่มๆ ให้บริการ หรือน่าจะเรียกว่าเหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวแบบเข้าครัวเอง เพราะมีทั้งเตาบาบีคิวและห้องครัวให้ใช้ด้วย
เป็นที่พักที่ราคาเริ่มที่ 1,500 บาท แม้จะติดแอร์แต่คงไม่ได้ใช้ เพราะในฤดูหนาว อากาศจะลดลงมาต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสได้เหมือนกัน แต่ในระดับหนาวธรรมดาของบ้านเรา ก็จะประมาณ 15 องศาเซลเซียส ยังไงก็ต้องลองไปสัมผัสกันดูเอง
อ้าว..ลืมช้อป ต้องกลับไปตัวเมืองอุทัยฯ...
ถ้าคุณลืมช้อปปิ้งซื้อของฝาก ที่อำเภอบ้านไร่ซึ่งจะมีพวกผ้าทอสวยล้ำ ราคาไม่ธรรมดา เพราะมีทั้งทอแบบพิเศษและผ้าทอโบราณ ลายสวยมาก แต่จะไม่มีขนมขึ้นชื่อมากมายอย่างในเมือง ก็ขับรถกลับไปใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ต้องกลับอีกทาง แบบไม่แวะเที่ยว คือขับรถเข้าอำเภอบ้านไร่แล้วเลี้ยวซ้ายสู่เมืองอุทัยฯ
แหล่งช้อปในเมืองอุทัยฯ แม้ถนนคนเดินตรอกโรงยาจะเป็นจุดขาย แต่จริงๆ แล้ว ของอร่อย มีกระจัดกระจายอยู่โดยรอบถนนแห่งนี้ เดินวนรอบตึกแถวจะมาเจอกับร้านขนมปังสังขยา แม่ป่วยลั้ง และร้านไพพรรณ ที่รสชาติของสังขยาอร่อยพอๆ กัน แม่ป่วยลั้งคล้ายจะหวานน้อยกว่านิดนึง ขณะที่ขนมปังของไพพรรณจะเหนียวกว่า โดยเฉพาะขนมปังกะโหลกที่ซื้อแยกกับสังขยาไว้ไปกินได้ แต่หมดเร็วมากที่ร้านไพพรรณ ส่วนขนมอื่นๆ แม่ป่วยลั้งก็ยังมีให้เลือกมากกว่า ดังนั้นใครชอบแบบไหนซื้อไปลองกันทั้งคู่ ไม่น่าผิดหวัง
ส่วนของฝากประเภทของสด ผัก ปลา ที่บอกเลยว่าต้องซื้อถ้าคุณทานเป็น ก็คือ
- เห็ดโคนสดและดอง : เพราะอุทัยธานีอยู่ใกล้ป่าสมบูรณ์ และเป็นเมืองที่ไม่ได้ถูกทำลายธรรมชาติ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไผ่ แม่น้ำลำธาร จึงเต็มไปด้วยเห็ดโคนในฤดูฝนที่จะขึ้นมากเป็นพิเศษ อย่าลืมหาซื้อกลับไปไว้รับประทาน ทั้งเห็ดสดและเห็ดดอง
- ปลาแม่น้ำและปลาแรดที่เลี้ยงในแม่น้ำ : เชื่อได้ว่าเป็นปลาแม่น้ำจริงๆ มีปลาสดๆ มาขายที่ตลาดเช้า ตลาดเย็น ริมแม่น้ำสะแกกรังทุกวัน ส่วนปลาแรด ใครมาเมืองนี้ไม่ได้ชิมปลาแรดทอดจะถือว่าพลาดแล้วหละ เพราะเนื้อเหนียวนุ่ม อร่อย สดจริงๆ ที่ตลาดมีแบบทอดแล้ว ตัวละร้อยกว่าบาท ตัวใหญ่มากซื้อกลับบ้านไปเก็บไว้พร้อมน้ำจิ้มแซ่บ แล้วจะติดใจ
- หน่อไม้สด : สำหรับคนชอบทานน้ำพริกกะปิ หน่อไม้ ปลาทูทอด ซื้อกลับไปเลย เพราะหน่อไม้ที่นี่หวานอร่อยมาก เอาไปผัดก็ไม่มีรสขม ซื้อโลด
นอกจากของฝากแนะนำเหล่านี้ ก็ต้องเป็นของโดนใจใคร โดนใจคุณแล้วหละ เจออะไร ชอบอะไรซื้อกลับบ้านไป แต่รับรองได้ว่า จะได้กลับมาซื้อหากันใหม่แน่นอน
หลังช้อป ก่อนกลับ ไปสักการะพระคู่บ้านคู่เมืองกัน
มาถึงอุทัยฯ จะต้องขึ้นเขาสะแกกรัง ไปไหว้พระ เสี่ยงเซียมซี ตีระฆัง ที่วัดสังกัดรัตนคีรี แล้วชมทิวทัศน์ 360 องศากันด้วย เมื่อก่อนต้องเดินขึ้นบันไดแบบไขข้ออาจกำเริบ แต่ปัจจุบันขับรถขึ้นไปได้ เห็นทั้งเมือง เห็นแม่น้ำ เห็นขุนเขา งามมาก ลมเย็นๆพัดมา สวัสดีลมหนาว
แล้วขับรถออกจากเมืองไปเพียง 20 นาที สู่วัดท่าซุง เพื่อสักการะหลวงปู่ฤษีลิงดำ ชมความงามของวัดและให้อาหารปลา ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ แบบไม่ย้อนกลับเข้าเมืองก็ได้ ลองขับรถขึ้นแพข้ามไปฝั่งจังหวัดชัยนาทดู ถ้าอยากลอง
นอกจากกิจกรรมที่เอามาแนะนำ ยังมีอะไรอีกมากมายที่จังหวัดอุทัยธานี ทั้งการล่องแพไปรอบๆแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆไม่อันตราย ชมวิถีชีวิตบ้านเรือนแพ และอาจลงไปว่ายน้ำพิสูจน์ความเย็นกันก็ได้ เพราะแม่น้ำสะแกกรังไม่ไหลเชี่ยว ใครได้มาดำน้ำที่นี่ เขาว่าจะได้กลับมาอีก จัดโปรแกรมให้ดี ถ้าไม่อยากไปเบียดเสียดแย่งหนาวกับใครๆ ลองดูจังหวัดอุทัยธานี ที่ไม่ไกลกรุงเทพฯ ไม่ไกลภาคเหนือ แต่ใกล้ขุนเขา สายหมอก และลมหนาว แบบกำลังสบายๆ แล้วยังไม่โดนทำร้ายจากนายทุนอีกด้วย พร้อมแล้ว ออกเดินทาง!