เชื่อไหมว่ามีคนกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยรู้ว่ากรุงเทพฯ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ และควรต้องแวะไปกันสักหลายๆ ครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโซนเกาะรัตนโกสินทร์ ที่เต็มไปด้วย วัด วัง ตลาดน้ำและตลาดเก่าแก่อย่างเยาวราช ตลาดน้อย บางลำพู สำเพ็ง ให้เดินกินเดินช้อป มีของกินอร่อย มีสถาปัตยกรรมงดงามที่ต้องอนุรักษ์ไว้ ที่สำคัญเที่ยวกรุงเทพฯนั้นเดินทางสะดวกด้วยการขนส่งสาธารณะที่ราคาถูกที่สุดในประเทศไทยแล้ว
ถ้าคุณเป็นคนกรุงเทพฯ ที่อยากผ่อนคลายจากงานกองโตแบบไม่ต้องไปฮอลิเดย์ไกล เอาค่าเดินทางมาเป็นค่าที่พัก ค่ากิน แล้วทำเสมือนเป็นนักเดินทางที่แวะมาตะลอนกรุงฯ สัก 2 วัน1 คืน ส่วนคนจังหวัดอื่นๆ ก็ตามกันมานะคะ ถึงแม้กรุงเทพฯ จะไม่มีภูเขา ไม่มีทะเล แต่กรุงเทพฯ ก็ยังมีสิ่งต่างๆ ที่บอกไป ทริปนี้อยากแนะนำสำหรับคนที่มีวันหยุดตรุษจีนยาว แต่ไม่ได้มีเชื้อสายจีน เอาอั่งเปามาเที่ยวกรุงฯ กันดีกว่า
นั่งรถเมล์ แท็กซี่ รถไฟฟ้า ไป Check-in เข้าที่พักโซน China Town
เลือกโซนที่พักที่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยว ในอารมณ์แบบไชน่า ทาวน์ แล้วจะง่ายต่อการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวแบบเดินไปได้ หรือต่อรถเมล์ ต่อแทกซี่ รถไฟฟ้า ระยะใกล้ๆ แนะนำแถว ตลาดน้อย ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ รถไฟ ตุ๊กตุ๊ก ท่าเรือด่วนเจ้าพระยา รวมถึงสองขาเดิน และสองขาปั่น ถ้าคุณมีจักรยานคู่ใจก็เอาไปด้วยเลย แต่สำหรับที่พักที่เราจะพาไปเช็คอิน เขามีจักรยานเอาไว้ให้ใช้ฟรีด้วยนะ
ที่นี่ Riverview Guesthouse Bangkok
แม้ว่า ริเวอร์วิว เกสท์เฮาส์ จะไม่ใช่บ้านไม้เก่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างที่ใครๆ อยากไปพักกัน แต่ด้วยทำเลที่ใกล้กับทุกสิ่ง และห้องพักที่ทำใหม่แบบออกบูทีคนิดๆ กับห้องอาหารบนดาดฟ้าเห็นวิวแม่น้ำ ก็ทำให้ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ราคาไม่แพงเกินจริง ที่สำคัญ มีห้องดอร์ม สำหรับนักเดินทางที่มาคนเดียว ไม่ต้องจ่ายหนักเมื่อไม่มีคนแชร์ค่าห้อง
ห้องพักของริเวอร์วิว เกสท์เฮาส์ มีหลายดีไซน์ บนตึกเก่าสูงในซอยภาณุรังสี ถนนทรงวาด โดยห้องพักชั้นบนสุดอยู่บนชั้น 7 ราคาที่พักเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 500 บาท จนถึงประมาณ 1,500 บาท นอกจากนี้ชั้นดาดฟ้าของที่พักจะเป็นไฮไลท์ เพราะเป็นห้องอาหารราคาไม่สูงมากนักที่เห็นวิวแม่น้ำงดงามมาก
สองขาปั่นไปตลาดน้อย
ตลาดน้อยเป็นตลาดในย่านเก่าแก่ที่มีเสน่ห์ ทั้งอาคารบ้านเรือนตึกเก่าสไตล์ไชน่าทาวน์ และอาหารที่หากินยาก เรียกได้ว่าเป็นตลาดที่ยังเก็บอารมณ์เก่าแก่ของชาวจีนในกรุงเทพฯเอาไว้ได้แบบไม่ต้องมีแหล่งช้อปปิ้งจัดตั้งเพื่อขายนักท่องเที่ยว มาถึงตลาดน้อย ต้องไปกินเป็ด ที่ร้านเป็ดตุ๋นเจ้าท่า อยู่ตรงข้ามกับท่าเรือกรมเจ้าท่า เปิดตั้งแต่ประมาณ 9.00-15.00 น. และบ๊ะจ่างวัชรี หลังตลาดน้อย ของดีเขตสัมพันธวงศ์ ที่ขายมากว่า 30 ปี และอย่าพลาดกับก๋วยเตี๋ยวหลอดโบราณเจ๊สุแถวสี่แยกศาลเจ้าปึงเถ่ากง-ม่า ซ.วานิช2 เปิดตั้งแต่ช่วงเกือบเที่ยงจนถึงเย็น
cr photo : sarakadee.com
ส่วนขนมโบราณที่หากินยากต้องไป ร้านเฮียบเตียง ในซอยเจริญกรุง 20 เปิดตั้งแต่เช้าจนเย็น เป็นร้านเก่าแก่ที่มีอะไรเด็ดๆ อย่าง ขนมน้ำตาลลายสิงห์โต มังกร ที่มีอาแปะวัย 80 นั่งปั้นและวาดพู่กันระบายสีอย่างแคล่วคล่อง โดยขนมน้ำตาลเหล่านี้ ชาวจีนจะซื้อเอาไปใช้ไหว้ในเทศกาลต่างๆ
กินอิ่มแล้วไปต่อที่ศาลเจ้าที่มีอยู่มากมาย
- ศาลเจ้าโจวซือก๋ง : เป็นศาลเจ้าเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2347 โดยเทพองค์นี้คือ โจวซือก๋ง (พระเซ่งจุ๊ยจ้อซือ) ที่ชาวจีนเชื่อกันว่าท่านจะช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศิลปปลายราชวงศ์ชิง เปิด 6.00-17.00 น. ตั้งอยู่ข้างวัดปทุมคงคา ด้านหลังตลาดน้อย
- ศาลเจ้าฮ้อนหว่อง : หรือศาลเจ้าโรงเกือก ศาลเจ้าแห่งนี้อายุร้อยกว่าปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สร้างโดยชาวจีนแคระ มีเทพเจ้าไฉซิลเอี๊ยะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ใครไปเที่ยวตลาดน้อยช่วงตรุษจีนและมีความเชื่อในเทพเจ้า ก็ซื้อกระดาษเงินกระดาษทองและของไหว้ไปไหว้กันได้ค่ะ
จบค่ำคืนกับอาหารบนดาดฟ้าของเกสท์เฮาส์ River vibe Restaurant & Bar กับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
จบค่ำคืนแรกนอกบ้านในเมืองกรุงแบบสบายๆได้วิวกรุงเทพฯมหานครที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ชิลสบายๆแบบอิ่มท้องบนชั้นดาดฟ้าของเกสท์เฮาส์ ที่มีร้านอาหาร River Vibe ตั้งอยู่ ถ้าอยากจะออกไปไนท์ไลฟ์ในกรุงเทพฯ ก็สะดวก สามารถนั่งรถตุ๊กตุ๊ก หรือแท็กซี่ไปได้สบายๆ ไม่ไกลจากถนนข้าวสาร หรือจะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินก็ไม่ไกลมาก และช่วงหัวค่ำก็ไม่เปลี่ยวมาก อากาศก็ไม่ร้อนไม่ต้องเดินตากแดด ถือได้ว่าเป็นทริปสบายๆ คลายเครียดที่ได้สัมผัสกับกรุงเทพฯจริงๆ ค่ะ
ก่อนเช็คอิน ปั่นไปเที่ยวคฤหาสน์เก๋งจีนเก่า บ้านโซว เฮง ไถ่ (บ้านตลาดน้อย)
cr photo : oknation.net/blog/kampong
บ้านโซว เฮง ไถ่ เป็นคฤหาสน์จีนเก่าแก่ตั้งแต่ตันสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งอยูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบ้านของเจ้าพระยาอภัยวานิช(จาต) ตระกูลโซว โดยสถาปัตยกรรมจะเป็นแบบฮกเกี้ยนแต้จิ๋ว โดยผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบจีนที่เรียกว่า สี่เรือนล้อมลาน กับสถาปัตยกรรมไทยเรือนสองชั้นมีพื้นชานลดระดับ
ปัจจุบันบ้านโซวเฮงไถ่อยู่ในการดูแลของคุณดวงตะวัน โปษยะจินดา ผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 7 ของตระกูลโซว และมีการดัดแปลงพื้นที่ลานกลางบ้านเป็นสระว่ายน้ำสำหรับสอนการดำน้ำด้วย เก๋ไหมล่ะ เมื่อปั่นหาบ้านโซวเฮงไถ่ ให้ถามไถ่คนแถวนั้นได้ในชื่อ "บ้านดวงตะวัน" หรือ "บ้านเจ้าคุณ" ก็จะเป็นที่รู้กันดีว่าอยู่บริเวณไหนของตลาดน้อยคะ หาไม่ยากเลย
จากนั้นรีบกลับห้องพัก เตรียมเช็คเอาท์นั่งแทกซี่กลับบ้านเลยดีกว่า จะแวะช้อปปิ้งระหว่างทางก็สบายๆ สัมภาระของคุณไม่มากมายอยู่แล้ว แค่กระเป๋าเป้ใบเล็กๆใบเดียวก็รอดแล้วค่ะ สำหรับทริปนี้ที่กรุงเทพฯ