ซึ่งยาตัวท็อปที่คนหน้าสิวทุกคนต้องเคยสัมผัส ก็คือเจ้าน้ำใส ๆ กลิ่นฉุน ๆ ที่คุณหมอหรือนักรีวิวทั้งหลาย บอกว่าให้ทาหลังล้างหน้าเช้าเย็น หลายคนอาจจะรู้จักในชื่อทางการค้าว่า Clinda-M แต่มันมีชื่อสามัญทางการแพทย์คือ Clindamycin (คลินดามัยซิน) ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อนั่นเองค่ะ
ด้วยสรรพคุณของ Clindamycin ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี จึงเหมาะกับการรักษาสิวอักเสบที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดใหญ่ มีหัวหรือจุดสีขาวเล็ก ๆ บางคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า สิวหัวช้าง ซึ่งโดยมากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย P.Acne ที่มักจะเปลี่ยนไขมันใต้ชั้นผิวให้อักเสบ บวม จนเม็ดเลือดขาวต้องเข้ามาสู้ เกิดอาการรวมตัวของหนอง และปูดขึ้นมากลายเป็นเนินน้อยๆ บนผิวของเรา หากอักเสบไม่มาก ก็อาจยุบหายไปได้เอง แต่ถ้าอาการรุนแรงจนเป็นภูเขาลูกใหญ่ ก็คงต้องใช้ยาฆ่าเชื้อเข้าช่วยกันหน่อยค่ะ
เพื่อนๆ สามารถทา Clinda-M โฟกัสเฉพาะบริเวณหัวสิวที่อักเสบหรือกำลังจะอักเสบ โดยเน้นให้แต้มเป็นจุด ๆ เฉพาะจุดที่มีหัวสิว เพื่อป้องกันตัวยาสัมผัสโดนผิวที่ไม่ได้เกิดอาการอักเสบ ป้องกันการดื้อยาในอนาคต จุดไหนมีเม็ดสิวนูนน้อยๆ หรือรู้สึกว่าเริ่มตุ่ย ๆ แดง ๆ ก็แต้มลงไปได้เลยค่ะ
แต่หากอยากให้เห็นผลการรักษาที่รวดเร็วทันใจ แนะนำให้ใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide (เบนโซอิล เปอร์ออกไซด์) หรือชื่อทางการค้าว่า Benzac (เบนแซค) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียได้ (แต่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ) โดยใช้ Benzoyl Peroxide แต้มบนหัวสิว 15 นาที ก่อนล้างหน้า แล้วค่อยทา Clinda-M หลังจากล้างหน้าไปแล้ว 30 นาที เพื่อให้ตัวยาซึมเข้าผิวขณะแห้งและออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
>> ข้อควรระวัง << ไม่ควรใช้ Clinda-M กับสิวชนิดอื่นๆ เช่น สิวผด สิวเสี้ยน สิวหิน เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สิวหายแล้ว ยังจะทำให้ผิวตรงส่วนนั้น ๆ ดื้อยา จนไม่สามารถใช้ยาธรรมดา ๆ รักษาให้หายได้นะคะ
จากรีวิวของ Cosmenet Member เกิน 50% ให้คะแนน 4-5 ดาวเลยทีเดียว ซึ่ง 1 ในข้อดีหลัก ๆ ของ Clinda-M ก็คือ เห็นผลไวมากกกก คงไม่มีอะไรจะถูกใจคนเป็นสิวได้เท่ากับผลลัพธ์ที่เร็วทันใจอีกแล้วค่ะ เลยทำให้ยาแต้มสิวตัวนี้ได้อันดับ 1 ไปแบบชิลล์ ๆ เลยค่าาา
สำหรับสาวๆ ที่ให้ 1-3 ดาว จะมีข้อติหลัก ๆ เลยก็คือ สิวเริ่มดื้อยาค่ะ อย่างที่เราอธิบายไว้ข้างต้นว่า Clinda-M คือยาปฏิชีวนะ ที่แพทย์ใช้สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ การใช้ยาปฏิชีวนะแบบไม่ต่อเนื่อง ทา ๆ หยุด ๆ จะทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่ตายสนิท และพัฒนาตัวเองขึ้นมาต่อสู้กับตัวยาได้ในที่สุด แต่หากใช้ควบคู่กับ Benzac ที่เป็นสารต้านเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ก็จะทำให้แบคทีเรียตายเร็วขึ้น โดยไม่ทันได้ดื้อยานั่นเอง
:: เปรียบเสมือนกับการรักษาโรค ที่คุณหมอมักจะกำชับให้ทานยาฆ่าเชื้อให้หมด แม้ว่าอาการป่วยจะหายไปแล้วนั่นเองค่ะ ::
สาวผิวมันและผิวผสม : อายุ 18 – 30 ปี ค่ะ
// สาวผิวมันเลิฟมากกก ♥♥ ด้วยลักษณะของตัวยาที่เป็นน้ำใสๆ จึงไม่ทำให้สาวผิวมันรู้สึกเหนอะหนะ ต่างจากยาแต้มสิวแบบอื่นๆ ที่มักจะเป็นรูปแบบครีม ยิ่งบริเวณที่เกิดสิว มักจะอยู่ในช่วง T-Zone ที่มีการผลิตน้ำมันออกมาในระหว่างวันมากกว่าบริเวณอื่นๆ การแต้มยาตัวนี้ลงไปจึงไม่รบกวนผิวรอบๆ มากนักค่ะ
// สาวผิวแห้งขอบายยย ✘✘ จากรีวิวทั้งหมด สาวๆ ที่ให้คะแนน 1 ดาวถึง 80% เป็นสาวผิวแห้งค่าาา ด้วยการออกฤทธิ์แบบยาปฏิชีวนะ จึงทำให้จุดที่เป็นสิวระคายเคืองรุนแรง แสบ จนต้องทาครีมทับหรือเช็ดออก ทำให้ยาแสดงผลได้ไม่เต็มที่ และเกิดอาการเชื้อดื้อยาในที่สุดค่ะ
จากเกือบ ๆ 300 รีวิว สาวๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึง Clinda-M ว่าเห็นผลเร็ว สิวยุบไว ราคาไม่แพง แต่ติดเรื่องกลิ่นที่ฉุนแอลกอฮอลล์รุนแรง และมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ บนบริเวณที่แต้มยา ซึ่งเป็น side effect ของตัวยาคลินดามัยซินค่ะ
:: สรุปให้เข้าใจกันง่าย ๆ :: เจ้าโลชั่นแต้มสิว Clinda-M ถือเป็นตัวยาที่ช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้ดีมากทีเดียวค่ะ และจะเห็นผลเร็วทันใจในกลุ่มคนผิวมัน-ผิวผสม ช่วงอายุตั้งแต่ 18 - 30 ปี แต่ก็ต้องอดทนกับกลิ่นฉุน ๆ และอาการแสบ ๆ คัน ๆ สักนิดนึงนะคะ
หากเป็นคนที่มีสิวอักเสบเป็นประจำ ก็แนะนำให้ใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide จะยิ่งเห็นผลดีมากขึ้น และลดอาการดื้อยาด้วยค่ะ
ใครที่สิวเห่อ สิวอักเสบในช่วงนี้ ก็ต้องอดทนรักษาสิวด้วยตัวเองที่บ้านกันไปก่อนนะคะ อาจจะได้ค้นพบเจลแต้มสิวตัวใหม่ ๆ ที่ใช้แล้วเวิร์ค จนหมดโควิดก็ไม่ต้องไปหาหมอสิวให้เปลืองเงินกันอีกแล้ววว
ถ้าชอบบทความเจาะลึกโปรดักต์แบบนี้ อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันบ้างนะคะ เราจะได้มีกำลังใจทำเจาะลึกโปรดักต์ตัวอื่นๆ มาให้อีกค่า ✽
ไปอ่านรีวิว Clinda-M จากผู้ใช้จริงกันต่อ คลิก!
▽