ผิวมันขาดน้ำ แก้ยังไง? รูขุมขนกว้าง หน้ามัน เป็นสิว ผิวมันขาดน้ำ ใช้อะไรดี? คำถามที่เราวนเวียนสงสัยในใจมายาวนาน หาเซรั่มตัวฮิตมาใช้ น้ำตบตัวดัง แต่ทำยังไง ก็ยังไม่พอใจกับสภาพผิวหน้าของตัวเอง จนมาค้นพบคำตอบที่แท้ทรูว่า เซรั่มขวดละสี่พันที่ใช้อยู่นั่นแหละ เป็นตัวการของปัญหาผิวเรา T-T
ใครที่มีปัญหาแบบเดียวกัน คือรู้สึกว่าตัวเองผิวมัน แต่ระคายเคืองง่าย ใช้ primer แพงแค่ไหนก็คุมมันไม่ค่อยอยู่ แต่งหน้าไม่ค่อยติดทน หลังล้างหน้าแล้วรู้สึกผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น บางทีลอกเป็นขุย แต่ทิ้งไว้ซักพัก ก็มันเยิ้มจนสะท้อนแสงได้…
ยินดีด้วยค่ะ คุณจับฉลากได้ ผิวมันขาดน้ำ!!! คำนี้เป็นคำที่ได้ยินกันมานาน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือเกิดจากอะไรใช่ม้า วันนี้ เราจะพาทุกคนไปดูสาเหตุของผิวมันขาดน้ำ และไอเทมที่จะช่วยกู้สภาพผิวให้กลับคืนสมดุลสุขภาพดีกันค่ะ
ผิวมันขาดน้ำคืออะไร?
ผิวมันขาดน้ำ คือสภาพผิวที่แห้งผาก ขาดแคลนน้ำที่จะมาเติมเต็มเซลล์ผิวให้อิ่มฟู หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Dehydrated Skin (ผิวขาดน้ำ) นั่นเองค่ะ
ที่ฝรั่งเค้าไม่เรียกว่าผิวมันขาดน้ำเหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยก็เพราะว่า อาการผิวขาดน้ำนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ก็ขาดน้ำได้ทั้งนั้น เพราะผิวขาดน้ำ เป็นอาการหนึ่งของผิวที่สามารถรักษาได้ ไม่เหมือนประเภทผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ที่ติดตัวมาตามพันธุกรรมตั้งแต่เกิด
แต่ในเมืองไทยมักจะพบในคนที่ผิวมันมากกว่า ทำให้คำว่าผิวมันขาดน้ำ เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยกว่านั่นเองค่ะ
ผิวมันขาดน้ำ มักจะเกิดกับสาวผิว(เคย)มันจำนวนมาก เพราะคนหน้ามัน ก็มักจะเป็นสิว และกลัวผิวอุดตันเป็นที่สุด นำไปสู่การทายาสิวเป็นประจำ (ซึ่งทำให้ผิวแห้งลอกและดื้อยา) สครับผิวบ่อยๆ (ไม่เหลือเซลล์ผิวชั้นนอกไว้บ้างเลย) ไปจนใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแทบจะทุกขั้นตอนของสกินแคร์
และด้วยความเป็นคนผิวมัน ก็จะใช้ทุกอย่างเพื่อคุมมัน ไล่มาตั้งแต่ไพรม์เมอร์ รองพื้น แป้ง และยังมีพฤติกรรมชอบซับหน้าบ่อย ๆ เพื่อลดความมันระหว่างวัน แต่รู้สึกรึเปล่าว่า ยิ่งคุม หน้าก็ยิ่งมัน ตัวไหนที่เมื่อก่อนเคยใช้แล้วดี คุมมันได้เริ่ด ใช้ไปซักพัก ก็เริ่มจะเอาไม่อยู่ ยิ่งขึ้นขวดสองขวดสาม ประสิทธิภาพก็สู้ครั้งแรกที่ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ
นี่แหละค่าาา พฤติกรรมที่เปลี่ยนสภาพผิวเราจากสาวผิวมัน ให้กลายเป็นผิวมันขาดน้ำไปทีละน้อย เพราะการผลัดเซลล์ผิวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้แรงขัดสครับ และการใช้สารเคมีช่วยอย่างวิตามินซี, BHA, AHA ก็ล้วนแล้วแต่จะทำให้ชั้นผิวบางลงทั้งนั้น
เมื่อผิวบางลง ความสามารถในการอุ้มน้ำเอาไว้ก็น้อยลง ทำให้น้ำในผิวระเหยไปในอากาศได้รวดเร็วกว่าสมัยยังเด็ก พอผิวขาดความชุ่มชื้น มันก็พยายามผลิตน้ำมันออกมาปกคลุมผิวมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้น รูขุมขนก็จะเริ่มขยายเพื่อให้น้ำมันออกมาได้ง่ายขึ้น เลยมีพื้นที่ให้เชื้อโรค และสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันเพิ่ม ทั้งสิวอักเสบและความระคายเคืองแพ้ง่ายต่าง ๆ ก็ตามมา เป็นลูปนรกวนไปไม่รู้จบ แถมยังทิ้งริ้วรอยยับย่นไว้เป็นที่ระลึกอีกต่างหาก ;-;
เชื่อว่าตอนนี้ สาวผิวมันหลายคนน่าจะเริ่มนึกถึงสกินแคร์บนโต๊ะเครื่องแป้งกันอยู่ใช่มั้ยคะ มีตัวไหนบ้างที่เน้นการผลัดเซลล์ผิว ไหนจะน้ำตบ เคลย์มาส์ก แล้วยังโฟม และสครับที่เรียงรายกันอยู่ในห้องน้ำอีก...ถ้าไม่อยากต้องล้มโต๊ะ รื้อเปลี่ยนสกินแคร์ใหม่ทั้งเซ็ต ขอให้หยุดอ่านบทความนี้ตรงนี้เลยค่ะ!
แต่ถ้าอยากได้ผิวใส ๆ ไม่มัน ไม่ขาดน้ำล่ะก็ กุมมือไปด้วยกันนะ ขนหน้าแข้งอาจจะร่วงนิด ๆ แต่ได้ผิวดีในระยะยาวแน่นอนจ้าาา
เรามีผิวมันขาดน้ำรึเปล่า?
วิธีการตรวจสอบว่าเรามีสภาพผิวมันขาดน้ำก็ง่ายมาก ๆ หากผิวคุณมีอาการแห้งลอกเป็นขุย แต่ก็มันง่าย ระหว่างวันต้องซับหน้าหลายครั้ง นั่นแหละค่ะ อาการของผิวมันขาดน้ำ
แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ ลองสังเกตผิวหลังจากล้างหน้าก็ได้ค่ะ ล้างหน้าเสร็จแล้ว ให้ซับน้ำด้วยผ้าขนหนูจนแห้ง (ห้ามถูหน้าแรง ๆ นะจ๊ะ) แล้วใช้หลังมือสัมผัสดูว่าได้ผลยังไงบ้างตามอาการข้างล่างนี้ จากนั้นรออีก 3-5 นาที เพื่อดูว่าผิวเรามีความเปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับข้อไหนบ้าง
- ผิวธรรมดา: หลังล้างหน้าจะรู้สึกสบายผิว ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่มัน ไม่แห้งหรือแสบหน้า
- ผิวผสม: หลังล้างหน้า 3-5 นาที ผิวบางส่วนมีความมันจนสังเกตุได้ โดยเฉพาะบริเวณที-โซน แต่ผิวบางส่วนมีความแห้ง ลอกจนมองเห็นเป็นขุย หรือรู้สึกเจ็บตึงผิว
- ผิวแห้ง: รู้สึกแห้งตึงทั้งหน้าตั้งแต่ซับน้ำออกจากผิว เมื่อทิ้งไว้ซักพัก จะเริ่มมีความแสบผิว มีขุยลอกเป็นบางส่วน พอทาครีมแล้วจะรู้สึกดีขึ้นทันที
- ผิวมัน: มีความมันวาวทั่วทั้งหน้า แม้จะไม่ได้ทาครีมอะไรเลย รูขุมขนดูกว้าง ผิวดูไม่เรียบเนียน และมีรอยแดง ๆ ที่เกิดจากการอุดตัน
- ผิวมันขาดน้ำ: สำหรับคนที่มีผิวมันขาดน้ำ เป็นผิวที่พิเศษกว่าใคร เพราะลักษณะภายนอกจะดูมันวาว รูขุมขนกว้าง แต่ในบริเวณเดียวกันก็มีอาการลอกเป็นขุยร่วมด้วย ซึ่งเกิดมาจากการน้ำในชั้นผิวไม่เพียงพอ จนรูขุมขนต้องส่งน้ำมันจำนวนมากออกมาเคลือบชั้นผิวไว้ไม่ให้อักเสบนั่นเองค่ะ
แต่ทั้งนี้ ในคนคนเดียวกัน ก็อาจมีสภาพผิวแตกต่างกันในแต่ละจุดได้นะคะ บางคนอาจเป็นได้ทั้งผิวมันขาดน้ำและผิวปกติไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งก็ต้องดูแลผิวด้วยสกินแคร์และวิธีการที่แตกต่างกันไปด้วยค่ะ
เมื่อเข้าใจสภาพผิวของตัวเองแล้ว ก็มาถึงวิธีการที่จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมามีสมดุล ซึ่งวิธีลัดที่ได้ผลเร็ว ก็คงไม่มีอะไรง่ายกว่าพึ่งแพทย์ผิวหนังแล้วล่ะค่ะ แต่บอกเลยว่า ถ้าไม่มีงบประมาณเยอะ ก็ไม่อยากแนะนำเท่าไหร่ เพราะจะทำให้รักษาได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แถมอาจไปเจอคุณหมอไม่จริง รักษาไม่ถูกวิธี จนผิวยิ่งพังไปไกลกว่าเดิมด้วยนะ
ส่วนวิธีที่อาจจะเห็นผลช้าหน่อยแต่ชัวร์กว่า ก็คือการใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมประจำวัน เพื่อให้ผิวกลับมามีชั้นผิวที่แข็งแรงจากภายใน อิ่มน้ำ รักษาความชุ่มชื่นได้ดี และมีการผลัดเซลล์ผิวอย่างเป็นธรรมชาตินั่นเองค่ะ
- Step 1 : เปลี่ยนสกินแคร์บนโต๊ะเครื่องแป้ง
- Step 2 : ผลัดเซลล์ผิวเฉพาะจุดที่ต้องการ
- Step 3 : ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรขึ้นไป
- Step 4 : พักผ่อนให้เพียงพอ
- Step 5 : ใช้คลีนซิ่งออยล์
Step 1 : เปลี่ยนสกินแคร์บนโต๊ะเครื่องแป้ง
โปรดักต์ที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเลยก็คือ สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, วิตามินซี, Retin A, ครีมทาฝ้า, Tea Tree และไวท์เทนนิ่งทั้งหลายค่ะ
แต่ ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า สกินแคร์เหล่านี้เป็นตัวร้าย และต้องโละทิ้งไปทั้งหมดนะคะ เพราะจริง ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ยังสามารถใช้ได้ เพียงแต่อย่าใช้พร้อม ๆ กันทั้งหมดเท่านั้นเองค่ะ อาจจะเลือกเฉพาะตัวที่ชอบที่สุดเก็บไว้ใช้ต่อไป และหาสกินแคร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื่น มาใช้แทนในขั้นตอนอื่น ๆ ค่า
สำหรับสกินแคร์ที่จะช่วยเติมน้ำหรือกักเก็บน้ำให้ชั้นผิวของเรา ก็ควรจะมีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูรอน, วิตามินอี, วิตามินบี 3, Aloe Vera ซึ่งเป็นส่วนผสมพื้นฐานที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น และถ้าใครชอบสกินแคร์ที่มีส่วนผสมพิเศษยิ่งขึ้น ก็อาจจะมองหาสกินแคร์ที่มี Cica, Life Plankton, Probiotics, Miracle Broth ฯลฯ ที่เน้นเรื่องการกักเก็บความชุ่มชื่นในผิวก็ได้เหมือนกันนะค้า
สกินแคร์เพื่อผิวมันขาดน้ำ
เพื่อน ๆ ที่ยังกังวลเรื่องความมัน ก็อาจจะเลือกใช้สกินแคร์ประเภทที่เนื้อเป็นเจล หรือโลชั่น เพื่อความเกลี่ยง่าย ซึมไว แต่ยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นให้อยู่ในชั้นผิวได้ยาวนาน หรืออาจจะใช้แบบเนื้อครีม แต่ทาแบบบาง ๆ ในจุดที่รู้สึกว่ามันง่ายกว่าจุดอื่น ๆ ก็ยังได้ แต่พอยท์สำคัญที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยก็คือ ห้ามทาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนบนหน้าแห้ง ๆ เด็ดขาด
เพราะกรดไฮยาลูรอนมีหน้าที่ดึงดูดน้ำให้อยู่ในเซลล์ได้นานขึ้น แต่ไม่ได้มีน้ำอยู่ในตัวเอง การทาไฮยาลูรอนบนผิวที่แห้งสนิท จึงเป็นการดูดน้ำออกมาจากเซลล์มากกว่าเติมความชุ่มชื่นให้ผิว ดังนั้นเพื่อน ๆ ควรจะสเปรย์ผิวให้ชุ่มด้วยน้ำแร่ หรือเช็ดโทนเนอร์ก่อนทากรดไฮยาลูรอนทุกครั้ง เพื่อให้มันช่วยเติมน้ำให้ผิวตามที่เราต้องการได้นั่นเองค่ะ
ผิวมันขาดน้ำใช้สกินแคร์อะไรดี
Step 2 : ผลัดเซลล์ผิวเฉพาะจุดที่ต้องการ
หากรู้สึกว่าผิวเริ่มอุดตัน อยากสครับ หรือแปะแผ่นลอกสิวเสี้ยนบ้าง ก็สามารถทำเฉพาะจุดได้นะคะ เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องทาครีมตัวเดียวกันทั้งหน้า หรือพอกมาส์กโคลนในทุก ๆ จุด เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ผิวหน้าแต่ละส่วน ก็อาจมีสภาพผิวที่แตกต่างกันได้ค่ะ
ใครที่ชอบสครับผิว อาจจะเลือกสครับเฉพาะจุดที่รู้สึกว่าผิวเริ่มมีความอุดตัน หรือจุดที่มีสิวเสี้ยนขึ้นเยอะ ๆ แล้วพอกอโลเวร่าเจลบริเวณอื่น ๆ ของผิวเพื่อเติมความชุ่มชื่น โดยสามารถทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ
แต่ถ้าให้แนะนำจริง ๆ การผลัดเซลล์ผิวที่เหมาะสม ควรจะทำแค่เดือนละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะผิวปกติจะผลัดเซลล์ผิวด้วยตัวเองทุก ๆ 25 วันอยู่แล้ว แต่สำหรับผิวมันขาดน้ำ อาจจะใช้ตัวช่วยให้ผิวผลัดเซลล์เร็วขึ้นเพื่อป้องกันการอุดตัน แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ผิวของเราโดนรบกวนมากเกินจำเป็นนะคะ
ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ ก็ต้องอ่อนโยนเป็นพิเศษ และอย่าลืมแปะชีทมาส์ก หรือพอกเจลอโลเวร่า เพิ่มความชุ่มชื่นหลังจากผลัดเซลล์ผิวแบบนี้ทุกครั้งด้วยนะคะ
Step 3 : ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรขึ้นไป
เมื่อผิวขาดน้ำ วิธีเติมน้ำที่ตรงไปตรงมาที่สุด ก็คือการดื่มน้ำนั่นเองค่า เนื่องจากน้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญในร่างกาย หากเราดื่มน้ำน้อยเกินไป แน่นอนว่าส่งผลต่อระบบต่าง ๆ รวมถึงสภาพผิวของเราด้วยนั่นเองค่า
เป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ไม่เปลืองเงิน แถมเห็นผลไว เพียงแค่ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตรติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผิวของเพื่อน ๆ ก็จะใสเด้ง อิ่มน้ำมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะค่ะ
Step 4 : พักผ่อนให้เพียงพอ
ตัวการอีกอย่างของสภาวะผิวมันขาดน้ำก็คือ การพักผ่อนไม่เพียงพอค่ะ ใครที่ชอบเล่นเกม ติดซีรี่ส์จนนอนไม่พอ น่าจะเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิว ตั้งแต่ริ้วรอยเล็ก ๆ หมองคล้ำ และอาการแพ้ระคายเคืองง่ายได้ภายใน 2-3 วัน
ดังนั้น หากไม่อยากมีผิวมันขาดน้ำแบบนี้ ก็ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ อย่างน้อยควรจะหลับสนิทติดต่อกัน 6-8 ชั่วโมง/คืน เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในช่วงเวลาที่ Growth Hormone หลั่งได้ดีที่สุดนั่นเองค่าา
Step 5 : งดของมันของทอด น้ำตาล แอลกอฮอลล์ และคาเฟอีน
ฟังดูแล้วทรมานใจเลยใช่มั้ยคะ ใครที่งดไม่ได้ ก็ทานต่อได้นะ แต่ขอให้ทานน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่า เพราะอาหารเหล่านี้ นอกจากจะทำลายหุ่นของเพื่อน ๆ แล้ว มันยังทำลายผิวสวย ๆ ของเรา ให้เต็มไปด้วยความมัน สารอนุมูลอิสระ รวมถึงเร่งกระบวนการคายน้ำออกจากผิว ทำให้ผิวเราไม่ชุ่มชื่น และขาดสมดุลไปนั่นเอง
ส่วนเมนูที่ควรเลือกทานเยอะ ๆ นอกจากน้ำดื่มแล้ว ก็ควรจะทานผักสด และผลไม้ให้เยอะที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูประเภทต้ม ๆ และเมนูโซเดียมต่ำ ที่เป็นชอยส์ที่ดีสำหรับผิวของเพื่อน ๆ อีกด้วยค่ะ
เมนูแนะนำสำหรับผิวมันขาดน้ำ
- มะเขือเทศ: จะทานแบบสด หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้ทุกเช้าก็ช่วยได้ เพราะเจ้ามะเขือเทศนี้มีวิตามินซีสูง นอกจากจะช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันได้ดีแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่ง สดใสจากภายในอีกด้วยค่ะ
- แซลมอน: ปลาแซลมอนนั้นอุดมไปด้วยไขมันดี ช่วยมาเติมคอลลาเจนในชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติ และยังคอยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว ริ้วรอย หรืออาการอักเสบของผิวที่เกิดจากความไม่สมดุลต่าง ๆ ปลาส้มเค้าช่วยได้จ้า
- กล้วย: กล้วยนั้น อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย และมีโพแทสเซียมสูง กระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของเลือด ยิ่งเลือดไหลเวียนดี ก็จะไปสร้างกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่สม่ำเสมอ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ แบบไม่ต้องพึ่งไวท์เทนนิ่งใด ๆ เลยอีกด้วย
Step 6 : ใช้คลีนซิ่งออยล์หรือคลีนซิ่งบาล์ม
ที่ยกมาไว้ข้อสุดท้ายก็เพราะรู้ดีว่า ออยล์และบาล์มเป็นสิ่งที่สาวไทยไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนที่เคยหน้ามันมาก่อน แต่จริง ๆ แล้วคลีนซิ่งออยล์นี่แหละ ที่เหมาะกับสภาพผิวมันขาดน้ำมากที่สุดเลยน้า
เพราะนอกจากจะช่วยลดการระคายเคืองจากสารทำความสะอาดในรีมูฟเวอร์ และการเช็ดถูผิวด้วยสำลีแล้ว คลีนซิ่งออยล์หรือคลีนซิ่งบาล์มคุณภาพดี ยังสามารถแทรกตัวเข้าไปละลายสิ่งสกปรกและคราบอุดตันในรูขุมขนได้ล้ำลึกกว่าคลีนซิ่งประเภทอื่น ๆ อีกด้วยนะคะ
คลีนซิ่งแนะนำสำหรับผิวมันขาดน้ำ
- THREE Balancing Cleansing Oil คลีนซิ่งออยล์สูตรบาลานซ์ซิ่งของ THREE นั้นขึ้นชื่อเรื่องการทะนุถนอมผิวได้อย่างอ่อนโยน และไม่อุดตันรูขุมขน ทั้งยังล้างสิ่งสกปรกออกได้หมดเกลี้ยง แล้วล้างออกจากผิวง่าย ควรคู่แก่ผิวบอบบางอย่างคนที่ผิวมันขาดน้ำสุด ๆ เลยค่ะ (คลิกเพื่อซื้อสินค้า)
- Banila Co Clean it ZERO คลีนซิ่งบาล์มสูตรอ่อนโยนราคาประหยัดที่คนผิวมันขาดน้ำควรใช้ บอกเลยว่า 1 กระปุก ใช้ได้ทั้งปี ซื้อทีคือคุ้มมากมาย เพราะปาดเนื้อผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ก็สามารถล้างได้หมดจด ทั้งอายเมคอัพที่ติดทนอย่างมาสคาร่า อายไลเนอร์ หรือลิปสติก โดยไม่ต้องระคายเคืองผิวจากการขัดถูเลยล่ะ (คลิกเพื่อซื้อสินค้า)
- Domohorn Wrinkle Oil-in-Gel Remover สำหรับสาวผิวมันขาดน้ำที่ยังรู้สึกไม่สะดวกใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อมัน ๆ อย่างออยล์ หรือบาล์ม แนะนำให้มาลองรีมูฟเวอร์เนื้อเจลของ Domohorn ดูค่ะ น้องเป็นเนื้อเจลที่จะเปลี่ยนรูปเป็นออยล์เมื่อนวดวนบนผิว และกลายเป็นน้ำนมเมื่อแตะน้ำ แต่เค้าไม่ทิ้งความมันน่ารำคาญไว้เลย และยังล้างเมคอัพติดทนได้สะอาดหมดจดไม่แพ้กันด้วย (คลิกเพื่อซื้อสินค้า)
- Shu Uemura Anti/Oxi Cleansing Oil คลีนซิ่งออยล์ในตำนานของ Shu Uemura ที่เราเลือกเป็นสูตรนี้ให้สาวผิวมันขาดน้ำ ก็เพราะเป็นสูตรที่ล้างออกง่ายที่สุดค่ะ ด้วยความที่ออยล์สูตรนี้เน้นดีท็อกซ์ผิว ขจัดมลภาวะ ฝุ่น และความระคายเคืองต่าง ๆ ทำให้ตัวออยล์มีความบางเบา ไม่เกาะติดผิวเมื่อคลีนซิ่งออยล์สูตรอื่น ๆ ของ Shu แต่ล้างทุกอย่างออกจากผิวได้เกลี้ยงกริ๊บจ้า (คลิกเพื่อซื้อสินค้า)
ได้สเตปดูแลผิวมันขาดน้ำแบบครบวงจรกันไปแล้ว ก็อย่าลืมคอยสังเกตสภาพผิวของตัวเองเป็นระยะ และนำเอาทริคเหล่านี้ไปปรับใช้กับผิวของตัวเองกันด้วยนะคะ ผิวสวยๆ จะได้ไม่กลายเป็นผิวขาดน้ำที่นำพาทั้งสิวและริ้วรอยมาเยือนจ้าาา
ใครชอบบทความที่มีสาระน่ารู้อัดแน่นแบบนี้ ก็ช่วยกด Like กด Share ให้กำลังใจคนเขียนกันด้วยนะค้า แล้วคราวหน้า จะมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับการดูแลผิวมาให้เพื่อน ๆ ติดตามกันอีกแน่นอนจ้า
xoxo
เรียบเรียงโดย www.cosmenet.in.th