ว่ากันว่า เมื่อเราคบกับจีนในรัชสมัยพระนารายณ์ ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังรุ่งเรือง คนจีนเอาอาหาร 2 อย่างมาเผยแพร่ในไทย คือ น้ำมันหมู กับ เต้าหู้ คนไทยจึงรู้จักกินน้ำมันหมูกับเต้าหู้มาตั้งแต่นั้น ต่อมา ด้วยเหตุผลทางโภชนาการ เรารณรงค์ให้คนไทยเลิกกินน้ำมันหมูเพราะคอเลสเตอรอลจะสูง น้ำมันหมูก็แทบจะหมดบทบาทในครัวไทย แต่เต้าหู้ซิ... เต้าหู้ยังคงอยู่บนโต๊ะอาหารของเรา ไม่หายหน้าไปไหน แสดงว่าเต้าหู้มีดีจริง แถมทุกวันนี้มีงานวิจัยมากมายที่ทำให้เรารู้ว่าเต้าหู้มีบทบาทต่อสุขภาพมากมาย เริ่มต้นจากมีรายงานของญี่ปุ่น ในสมัยที่เต้าหู้ยังเป็นอาหารประจำวัน ตอนนั้น คนญี่ปุ่นกินเต้าหู้กันคนละ 90-120 กรัมต่อวัน พบว่าสถิติป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากมีน้อยมาก เมื่อเทียบคนอเมริกันในสมัยเดียวกันที่ไม่เคยรู้จักเต้าหู้เลย ปรากฏว่าผู้หญิงอเมริกันตายจากมะเร็งเต้านมมากกว่าญี่ปุ่น 4 เท่า ผู้ชายอเมริกันตายจากมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่า 5 เท่า
นั่นคือข้อมูลเบื้องต้นที่ทำให้คนทั่วโลกหันมาสนใจเต้าหู้
เทศกาลกิน เจ เป็นช่วงที่งดกินเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ก็หันมากินแหล่งอาหารโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ดีกว่าหรือ การกินเต้าหู้ซึ่งเป็นโปรตีนจากพืชจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าการกินเจ แบบหันไปกินไก่ปลอม ปลาปลอมที่ทำจากแป้งให้เสียสุขภาพเปล่า ๆ
จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ สามารถประมวลประโยชน์จากเต้าหู้ได้ดังนี้
1.
เต้าหู้มีสารตัวหนึ่งคือ เจนิสเตน (
jenistein) สามารถป้องกันก้อนมะเร็งไม่ให้โต เนื่องจากมันจะเข้าไปตัดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้อ เมื่อมะเร็งไม่ได้รับเลือดไปเลี้ยงก็ไม่สามารถโต และทำอันตรายต่อร่างกายไม่ได้ ปัจจุบัน เรายังรู้อีกว่าเจนิสเตนนั้นมีผลต่อมะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมากโดยตรง การกินเต้าหู้เป็นประจำแบบชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนจึงป้องกันมะเร็งเต้านม และต่อมลูกหมากได้ อนึ่งเจนิสเตนยังอาจมีผลต่อะเร็งอื่น ๆ อีกด้วย
2.
เต้าหู้ มีไอโซฟลาโวน (
isoflavone) ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมและป้องกันอาการของวัยหมดประจำเดือน ไอโซฟลาโวนเป็นสารคล้ายฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วกลับมีผลไปบล็อกเนื้อเยื่อเต้านมไม่ให้ถูกกระตุ้นโดย ฮอร์โมนเพศให้เกิดซีสต์และก้อนเนื้อในเต้านม จึงเป็นการป้องกันมะเร็งเต้านมแต่เนิ่น ๆ อีกประการหนึ่ง ไอโซฟลาโวนจะช่วยกระตุ้นการดูดซึมของแคลเซียม จึงช่วยป้องกันกระดูกผุในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ดี เช่น ใครที่มีอาการร้อนวูบวาบ หากกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวัน วันละ 45 กรัมนาน 6 สัปดาห์ อาการร้อนวูบวาบจะลดลงไปถึง 40% หากผู้หญิงกินน้ำเต้าหู้เพียงวันละแก้ว หรือกินเต้าหู้ทุกวันก็จะสามารถป้องกันทั้งอาการวัยหมดประจำเดือนและกระดูก ผุได้แล้ว
3.
เต้าหู้ป้องกันกระดูกผุ กล่าวแล้วว่าสารไอโซฟลาโวนมีผลป้องกันกระดูกผุ แต่ที่เต้าหู้มีดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับการป้องกันกระดูกผุก็คือ ในเต้าหู้อุดมด้วยแคลเซียม ทั้งนี้เพราะการจะทำให้เต้าหู้แข็งตัวได้ต้องใช้ ดีเกลือ หรือเจี๊ยะกอ ซึ่งเป็นเกลือของแคลเซียมดี ๆ นี่เอง เชื่อหรือไม่ล่ะว่าเต้าหู้ 1 แผ่นมีแคลเซียมมากกว่านมวัวปริมาณเดียวกัน
4.
เต้าหู้ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าหากกินเต้าหู้เพียงวันละ 47 กรัมทุกวัน ก็จะทำให้ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ลดลง ซึ่งจะลดอัตราเสี่ยงของโรคหลอดเลือดทั้งโรคหัวใจและอัมพาตลงได้ เอาเป็นว่าในระยะกินเจ ลองกินเต้าหู้เพียงวันละไม่ถึงครึ่งแผ่นทุกวัน และกินต่อไปอีกสัก 1 เดือน งดนมวัว งดอาหารมัน ๆ เสีย แล้วไปเจาะเลือดดูสิ จะพบว่าคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์จะลดลง
ในเมื่อเต้าหู้มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นนี้ ในเมื่อจะกินเจด้วยเหตุผลทางสุขภาพ ก็กินเต้าหู้เสียทุกวันก็น่าจะดีกว่า เผอิญในฤดูกาลกินเจเราจะมีเต้าหู้ใหม่ ๆ อร่อย ๆ กินกัน ที่จริงแล้วเต้าหู้โฮมเมดนั้นดีที่สุด สดที่สุด หากใครหากินได้ก็จะได้ของอร่อยกว่า
แต่ถ้าหาไม่ได้ ก่อนซื้อเต้าหู้ก็ลองดมดูเสียหน่อย เต้าหู้ที่มีกลิ่นเปรี้ยวจะเป็นเต้าหู้เก่าเก็บ มันจะออกรสเปรี้ยว ๆ อีกอย่าง ก็ลองมองหาวันหมดอายุ หรือวันผลิต เต้าหู้ที่อร่อยน่าจะผลิตมาไม่เกิน 3 วัน อย่างไรก็ตาม เต้าหู้ตามตลาด หากซื้อมาแล้วให้ล้างให้สะอาด ใส่กล่องมีฝาปิด แช่น้ำสะอาดแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ก็ควรจะต้องกินหมดภายใน 3 วันเช่นกัน
บทความจาก นิตยสารขวัญเรือน โดย พญ. ลลิตา ธีระสิริ
ขอบคุณ http://www.balavi.com