10. อยากสุขภาพดีต้องกินอาหารเสริม
หลังๆ เริ่มมีความเห็นของหลายคนว่า ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์จะต้องกินอาหารเสริมหรือวิตามินต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนปกติที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร การกินผัก ผลไม้ และกินข้าวกล้อง หลีกเลี่ยงจากอาหารแต่งสี แต่งกลิ่น ใส่ผงชูรส และทำการอดล้างพิษเป็นระยะๆ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องขวนขวายหาอาหารเสริมมากินกันอีก ยกเว้นกรณีของวิตามิน C 1,000 mg ที่อาจมีติดไว้ใช้ประจำบ้าน เวลาครั่นเนื้อครั่นตัวจะเป็นหวัดก็พอ ส่วนคนที่เจ็บป่วยเป็นโรคแล้วอาจจะต่างออกไป เพราะในการรักษาโรคบางทีเราต้องใช้วิตามินหรืออาหารเสริมเป็นปริมาณมากกว่า ปกติ มากกว่าที่เราจะได้จากอาหารที่กิน ในกรณีเช่นนั้นคงต้องพิจารณาใช้เป็นกรณีๆ ไป แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้วไม่จำเป็นต้องหามากินก็ได้ จริงๆ แล้วในปัจจุบัน ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับสุขภาพเปลี่ยนไปเร็วมาก จนต้องติดตามให้ทันอยู่เสมอ ดังนั้นความรู้บางอย่างที่เคยเชื่อกันในอดีต สำหรับปัจจุบันก็อาจล้าสมัยไปได้ ดังนั้นควรเปิดรับความรู้ทางสุขภาพใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาความรู้ส่วนอื่นๆ ผมจะพยายามใช้พื้นที่ส่วนนี้นำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป
9. การอบสมุนไพรและอบซาวน่า ยิ่งนานยิ่งดี
คนไทยเรามีนิสัยแปลกแต่น่ารักอย่างหนึ่ง คือทำอะไรจะต้องให้มันสุดๆ สร้างโอ่งก็ต้องให้ใหญ่ที่สุดในโลก, ทำขนมไหว้พระจันทร์ก็ต้องให้ใหญ่ที่สุดในโลก แน่นอนว่านิสัยนี้ก็ลามมาถึงกระบวนการดูแลสุขภาพบางอย่างด้วย จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า คนไทยบางคนจะเชื่อว่าการอบสมุนไพร การอบซาวน่า ยิ่งนานยิ่งดี ถึงกับเคยมีการมาแข่งนั่งทนในห้องซาวน่า ใครนั่งได้นานกว่าคนนั้นชนะ เป็นงั้นไป? ถ้าว่ากันตามตำราแล้ว การอบซาวน่าให้ได้ประโยชน์ตามแบบฉบับของชาวฟินแลนด์-เจ้าแห่งต้นตำรับฟิน ซาวน่า เขาบอกว่าควรจะร้อนเป็นเวลา 3-5 นาที แล้วสลับด้วยการแช่น้ำเย็น 1-2 นาที ทำเช่นนี้สลับกันสัก 3 รอบ และเพื่อให้ปฏิบัติตามนี้ได้เขาจึงมักสร้างห้องอบซาวน่าไว้ใกล้ๆ กับลำธารน้ำเย็น เพื่อว่าเวลาออกจากห้องซาวน่าจะได้กระโดดลงไปแช่ในน้ำเย็นได้อย่างทันท่วงที การทำดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี ซึ่งความรู้ดังกล่าวอาจดูขัดนิดๆ สำหรับความเชื่อของคนไทยที่ว่า ถ้าอากาศเปลี่ยนร้อนๆ หนาวๆ จะทำให้ไม่สบาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การอบร้อนสลับเย็นในสภาวะที่ร่างกายยังไม่เจ็บป่วย เปรียบเสมือนกับการซ้อมให้ร่างกายเคยชินกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เวลาที่เจออากาศเปลี่ยนจริงๆ ร่างกายเราก็พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอากาศดังกล่าว ทำให้ไม่ป่วยได้ง่าย แต่ถ้าไม่สบายอยู่ล่ะก็นอนพักซะเถอะนะคะ รอให้หายก่อนค่อยไปอบร้อนสลับเย็นกันต่อ
8. กินไวน์ทำให้สุขภาพดี
เริ่มมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า การกินไวน์ที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เคยคิดว่าเป็นผลเสียต่อร่างกาย นั้น แท้จริงแล้ว ถ้าดื่มในปริมาณที่พอเหมาะกลับจะมีส่วนช่วยทำให้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและ หลอดเลือดลดลง แน่นอนว่าหลังจากนั้นคอไวน์หลายๆ คนก็จะเอาข้อความดังกล่าวมาอ้างเพื่อให้ดื่มไวน์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดีขอให้ดูข้อมูลกันดีๆ อีกซักนิดหนึ่งค่ะ ว่าการดื่มไวน์ที่จะทำให้สุขภาพดีนั้นมีข้อแม้ว่าอย่างไร 1.การ ดื่มไวน์ที่ทำให้สุขภาพดี มีข้อแม้ว่าจะต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ คำว่าพอเหมาะก็คือไม่มากจนเกินไปด้วย ภาษาฝรั่งเขาว่า Moderate drinking หรือประมาณ 240 ml/วัน 2.สิ่งที่ทำให้ไวน์มีผลดีต่อสุขภาพหัวใจก็คือ สาร Flavonoid ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ซึ่งมีส่วนช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด, ช่วยลดไขมันในเลือด และมีคุณสมบัติช่วยลดโอกาสของการแข็งและหนาตัวของหลอดเลือด (แต่มีผลเฉพาะในเพศหญิงนะ) อย่างไรก็ดี เนื่องจากสารกลุ่มดังกล่าวมีอยู่มากในเปลือกองุ่นและก้านองุ่น ดังนั้นด้วยกระบวนการทำไวน์ขาวที่จะเอาส่วนดังกล่าวออกไป จึงทำให้ไวน์ขาวไม่มีผลดีต่อสุขภาพเหมือนเช่นไวน์แดง 3.อย่าลืมว่า นอกจากจะได้สารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว เรายังได้สารที่เป็นโทษต่อร่างกายจากการดื่มไวน์ด้วย นั่นก็คือ Alcohol นั่นเอง ถ้ามองในด้านมืดของไวน์ก็มีงานวิจัยออกมาเช่นกันว่า เช่น ผู้หญิงที่ดื่มไวน์ แม้จะน้อยเพียงแค่วันละแก้ว ก็มีโอกาสที่เป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงทั่วไป 10% ด้วย ดังนั้น เรื่องของการดื่มไวน์เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพ คงยังเป็นประเด็นที่ต้องคิดพิจารณากันให้ดี นั่นคือถ้าจะดื่มก็ต้องดื่มให้พอเหมาะไม่มากจนเกินไป หรือถ้าตัดปัญหา คุณก็ยังสามารถหาสารต้านอนุมูลอิสระได้จากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ผัก, ผลไม้ และข้าวกล้อง ที่ไม่ต้องมานั่งกังวลมากเท่าไวน์ว่าจะมีผลเสียหรือเปล่า
7. Vitamin A - Betacarotine
ในบรรดาอาหารเสริมทั้งหลายที่มีอยู่ตามท้องตลาด ตัวที่เด่นและมีใช้กันกลาดเกลื่อนที่สุดคงหนีไม่พ้น วิตามิน A, C และ E ด้วยความที่ว่า พวกมันมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เก่งกาจทีเดียว วิตามิน A ที่พูดถึงและทำให้คนสับสนได้บ่อยๆ คือ วิตามิน A จากสัตว์ หรือ Retinol ซึ่งมีมากในน้ำมันตับปลา วิตามิน A - Retinol ตัวนี้มีโมเลกุลใหญ่กว่า และไม่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นใครที่อยากได้สารต้านอนุมูลอิสระ ก็ไม่ต้องไปหาน้ำมันตับปลามากินนะคะ แต่ต้องหาวิตามิน A จากพืช หรือ Betacarotine มาใช้จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ อีกอันหนึ่งที่เรามักจะ พลาดกันบ่อยก็คือ การเลือกวิตามิน A - Betacarotine ที่วางขายตามท้องตลาด ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า Betacarotine ในท้องตลาดมี 2 พวก พวกแรกคือพวกที่สังเคราะห์ขึ้น พวกที่สองคือพวกที่สกัดจากแหล่งธรรมชาติ เช่น สาหร่าย D. sallena ให้เลือกแบบที่สกัดเพราะมีงานวิจัยพบว่า Betacarotine แบบสังเคราะห์ นอกจากไม่ช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งปอดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เวลาเลือกจึงต้องเจาะจงชนิดที่สกัดจะดีกว่า นอกจากนี้ คนที่กิน Betacarotine ในระดับสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน Betacarotine จะไปสะสมอยู่ที่ชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้ตัวออกเป็นสีเหลืองทองๆ จนบางคนอาจกังวลเข้าใจผิดว่าเป็นดีซ่าน จริงๆ แล้วอาการเหลืองจาก Betacarotine นั้นเป็นอาการเหลืองที่ปลอดภัย เพราะหยุดกินสักพักอาการเหลืองก็จะหายไปได้เอง แต่ถ้าไม่ได้กังวลกับมัน ผมแนะว่าให้กินต่อไปเหอะ เพราะว่า Betacarotine ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จะไปช่วยป้องกันผิวของเราไม่ให้เหี่ยวย่นได้เร็ว เป็นผลดีเสียอีก
6. การโด๊ปโปรตีนทำให้ร่างกายแข็งแรง
อาจเป็นความคิดเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง คุณยายผมบอกว่า ขนาดม้ายังหาหญ้าสดกินลำบากเลย จะต้องเอาแว่นตาสีเขียวมาใส่ให้ม้าเพื่อหลอกให้มันกินหญ้า ไม่ต้องไปพูดถึงโปรตีน เด็กๆ ขาดโปรตีนกันเป็นแถว ดังนั้น ในสมัยนั้นคนไหนที่มีโปรตีนกิน ก็จะดูมีสุขภาพดีกว่าคนที่ขาดโปรตีนแหงอยู่แล้ว แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ปัญหาของคนปัจจุบันจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการขาดโปรตีนอีกต่อไปแล้ว ในทางตรงกันข้าม ปัญหาส่วนใหญ่ของคนปัจจุบันคือ การบริโภคโปรตีนล้นเกิน โดยเฉพาะในหมู่นักเพาะกายทั้งหลายที่นิยมกินกันจัง สิ่งหนึ่งที่ ควรรู้ก็คือ โปรตีนที่บริโภคล้นเกิน ถ้าร่างกายเก็บไม่ทันจะถูกขับออกจากร่างกายหมด ไม่ค่อยได้เก็บไว้ ดังนั้นกินมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์ แม้แต่ในอาหารสูตร Atkins diet ที่ให้กินโปรตีนมากและไม่มีแป้ง ในระยะยาวก็พบว่าทำให้กล้ามเนื้อลีบฝ่อเสียด้วยซ้ำ ส่วนเรื่อง พลังงานที่ได้ โปรตีนให้พลังงานที่เท่าๆ กับแป้งในปริมาณเท่าๆ กัน จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่ว่า อยากแข็งแรงจะต้องกินโปรตีนเยอะๆ เพราะนอกจากโปรตีนจะให้พลังงานแค่พอๆ กับแป้งแล้ว ตัวมันเองยังเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายจะเลือกใช้เป็นอันดับท้ายๆ ด้วย เพราะการเผาผลาญโปรตีนจะได้ของเสียพวกยูเรียออกมามาก ไตจะต้องทำงานหนักขึ้น
5. การดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ
เกรียวกราวกันจนฉุดไม่อยู่เลยค่ะ สำหรับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพตัวใหม่นี้ เรียกได้ว่าถ้าอยากจะให้อินเทรนด์ล่ะก็ อาหารหรือเครื่องดื่มอะไรถ้ามียี่ห้อชาเขียวเข้าไป อาหารชนิดนั้นจะกลายเป็นอาหารเพื่อสุขภาพทันที ความนิยมที่ว่านี้รุนแรงถึงขั้นที่ว่า สามารถกระชากยอดขายของน้ำอัดลมประเภทน้ำดำลงมาจากบัลลังก์ได้ อย่าง ไรก็ตาม ชาเขียวคงไม่ใช่คำตอบของทุกๆ อย่าง จุดเริ่มต้นของชาเขียวมาจากการทดลองที่ค้นพบสารประกอบในกลุ่มของ Cathechin โดยเฉพาะตัวเอกของสารกลุ่มนี้คือ EGCG นักวิทยาศาสตร์พบว่า EGCG มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็งได้หลายชนิด ซึ่งจริงๆ แล้ว Cathechin ไม่ได้มีอยู่แต่ในชาเขียวเท่านั้น ชาดำหรือชาจีนก็มีด้วย แต่ในชาเขียวมีมากที่สุด ด้วยคุณสมบัติที่ว่านี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่เห็นชาเขียวเป็นเหมือนน้ำอำมฤต รักษาได้ทุกอย่างตั้งแต่ ไขมันในเลือดสูง ป้องกันมะเร็ง แม้แต่ลดความอ้วนก็เกาะกระแสมากับเขาด้วย แต่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชาเขียวที่คุณควรรู้ก็คือ 1.ระดับของ EGCG ที่ใช้ในการจัดการกับมะเร็งนั้น เทียบเท่ากับการดื่มชาเขียวชงแบบเข้มข้นกันวันละ 10 แก้วกันเลยทีเดียว และของแถมที่ได้ไปด้วยก็คือสารที่มีชื่อว่า Tannin ที่จะทำให้ท้องผูกอีกต่างหาก ดังนั้น ถ้าต้องการกินชาเขียวเพื่อการนี้คงต้องหลีกเลี่ยงไปใช้แบบสกัดแทน ส่วนชาเขียวเจือจางผสมน้ำรสหวานๆ นั้นคงไม่ต้องพูดถึง 2.ถึงชาเขียว จะมีประโยชน์ แต่ปริมาณเล็กน้อยที่ใส่ลงไปในอาหารหรือขนมคงไม่ช่วยอะไรมากนัก กรณีของการลดความอ้วนด้วยชาเขียวก็เช่นกัน ถ้ากินแบบที่หวานๆ ก็จะได้น้ำตาลเข้าไปในปริมาณมากด้วย แทนที่จะผอมเผลอๆ จะอ้วนแทน ยิ่งใส่ในขนมเบเกอรี่ยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้น ชาเขียวที่มีในท้องตลาดวันนี้คงไม่ได้มีสรรพคุณมากเท่าใดนัก กินเล่นๆ สนุกๆ น่ะพอได้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมต้องขอบคุณชาเขียวก็คือ ชาเขียวทำให้การรณรงค์ให้เด็กงดดื่มน้ำอัดลมที่เราพยายามมาอย่างยาวนานประสบผลเสียที
4. การกินเจเพื่อสุขภาพ
ในยุคนี้ที่คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ก็เริ่มมีความรู้กันว่าการกินเนื้อสัตว์มากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรค ต่างๆ จึงเริ่มมีกลุ่มคนที่หันมากินผัก กินผลไม้ กินมังสวิรัติกันมากขึ้น และแน่นอนว่าคนที่เคยกินเนื้อมามากๆ พอกินเนื้อน้อยลง สุขภาพต่างๆ ของพวกเขาก็กลับดีขึ้น ก็เลยกลายเป็นการบอกต่อกันไปว่า อาหารกลุ่มนี้ดีนะ ประกอบกับความเชื่อความศรัทธาทางศาสนา ก็เลยกลายเป็นเรื่องฮิตขึ้นมา มีการจัดเทศกาลกินเจขึ้นทุกๆ ปี แต่ศรัทธาหรือความเชื่อใดที่ไม่มี ปัญญามากำกับ ก็ย่อมมีผลกลับกลายตรงกันข้ามไปได้ เพราะอาหารเจส่วนหนึ่ง แทนที่จะเป็นผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืช ตามธรรมชาติ กลับมีการเติมแต่งสีและกลิ่นเข้าไป ทั้งผงชูรส การดัดแปลงอาหารมากขึ้นๆ จนไม่เหลือคุณค่าอาหารตามธรรมชาติ ร่วมกับสไตล์การทำอาหารเจบางอย่าง ที่ใช้น้ำมันในการผัดการทอดมากจนเกินไป ในที่สุดแทนที่สุขภาพจะดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนบางคนพอออกเจก็น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง สุขภาพแย่ลงแทน ดังนั้น ถ้าอยากกินเจหรือมังสวิรัติให้สุขภาพดี ควรดูด้วยว่าเป็นอาหารเจที่เน้นผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืชที่มีเส้นใยและวิตามินสูง ในขณะที่ไม่ผ่านการดัดแปลง รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงจากเมนูอาหารที่ใช้น้ำมันมาก ถ้าทำได้ดังนี้แล้ว การกินเจของคุณก็จะได้ทั้งสุขภาพและบุญสมดังจุดมุ่งหมาย
3. การกระชับหุ่นด้วยการอดอาหารและอาหารเสริมต่างๆ
ด้วยลัทธิบริโภคนิยมที่แพร่ระบาด เกิดวัฒนธรรมใหม่ของการรักสบาย ทุกคนมุ่งเน้นในการหาความสบายใส่ตัว ไม่วายเว้นไปถึงการรักษาสุขภาพที่อะไรสบายได้ก็ขอสบายไว้ก่อน ไอ้เรื่องออกแรงออกกำลังนั้นอย่าหวัง จึงเกิดวิธีการต่างๆ เพื่อให้หุ่นดีโดยที่ไม่ต้องออกกำลังกายขึ้น อันเป็นที่มาของการอดอาหาร (อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกกำลังกาย) หรือพวกอาหารเสริมต่างๆ ที่เน้นเรื่องแคลอรีต่ำๆ เข้าไว้ แล้วหวังว่าหุ่นมันจะดี อันนี้ล่ะค่ะที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงเป้าหมายที่หวังไว้สักที ทั้งนี้ เนื่องจากว่าหลายคนเข้าใจความหมายของคำว่า "หุ่นดี" ผิด ดันไปคิดว่า "หุ่นดี = น้ำหนักน้อย" ดังนั้น จึงมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาอดอาหาร กินแต่อาหารเสริมจนผอมบักโกรก ก้นปอด แก้มตอบ ซูบซีดไปหมด แต่ก็ยังหุ่นไม่ดีสมใจเสียที สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ทุกครั้งที่เราขาดแคลอรี ไม่ว่าจะเป็นจากการอดอาหารหรือกินอาหารเสริมที่มีแคลอรีต่ำ ร่างกายจะดึงเอาพลังงานสำรองมาใช้ (ทำให้น้ำหนักลดลงจริงดังว่า) แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดึงเอาแต่ไขมันมาใช้นะ มันใช้ทั้งไขมันและโปรตีนไปพร้อมๆ กันน่ะแหละ (แต่ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามแต่ระยะเวลาที่เราอด) เมื่อโปรตีนถูกใช้ นั่นก็หมายถึงกล้ามเนื้อที่ลีบฝ่อลง กลายเป็นผอมแบบเก้งๆ ก้างๆ หุ่นก็เลยไม่ดี ยิ่งทำไปนานๆ ร่างกายจะมีปริมาณ % Body fat มากขึ้น ทำให้หุ่นดูย้วยๆ หลวมๆ ลงกว่าเดิมเมื่อเลิกโปรแกรมการคุมอาหาร ดังนั้น ทางออกของเรื่องหุ่นดีและกระชับ จึงต้องประกอบไปด้วย 2 ส่วนเสมอ นั่นคือการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย ไม่ใช่หวังพึ่งแต่การอดและใช้อาหารเสริมเพียงอย่างเดียว
2. การกินน้ำหวานหรือของหวาน ช่วยให้สดชื่นกระชุ่มกระชวย
มีคนจำนวนมากที่เชื่อเช่นนั้น ทำให้เครื่องดื่มในกลุ่มของน้ำอัดลม น้ำหวาน ขนมนมเนย รวมไปถึงเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อต่างๆ ขายดิบขายดีมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นปัญหาร้ายแรง ถึงขั้นที่มีแพทย์หลายท่านต้องออกมารณรงค์เรื่องเด็กติดหวาน ทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา อย่างไรก็ตาม มีหลายคนทั้งที่รู้ถึงผลเสียของน้ำหวานและขนมหวานก็ตาม แต่ก็ยังตัดใจจากอาหารและเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ได้เสียที ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อไม่ได้กินแล้วไม่มีแรง จะขาดใจซะให้ได้ ความรู้สึกว่าไม่ได้กินของหวานแล้วไม่มีแรง เลยคิดว่าการกินหวานเป็นทางออก นั่นล่ะคือ Pitfall ที่คนส่วนใหญ่มักจะติดกับกัน ทั้งนี้ การดื่มน้ำหวานเวลามีอาการเพลีย นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ในระยะยาวจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ให้เรายิ่งแย่ลงไปอีก ทั้ง นี้ เพราะว่าทุกครั้งที่มีการเผาผลาญน้ำตาล ร่างกายจะต้องใช้วิตามิน B ร่วมด้วยเสมอ ดังนั้น เมื่อกินน้ำตาลและเผาผลาญน้ำตาลมากๆ วิตามิน B ก็จะถูกใช้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถ้าอาหารที่เรากินเป็นแต่น้ำหวาน ขนมหวานที่มีแต่น้ำตาล ไม่มีวิตามิน B เลย ท้ายที่สุดร่างกายก็จะเกิดภาวะพร่องวิตามิน B ตามมาได้ และอาการของภาวะพร่องวิตามิน B ก็คือไอ้อาการเหนื่อยเพลียเหมือนไม่มีแรงนี่แหละ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความที่น้ำตาลพวกนี้เผาผลาญเร็วมาก ดังนั้น อาการสดชื่นหลังจากดื่มน้ำหวานเข้าไปก็จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เหมือนไฟไหม้ฟาง แต่ฮอร์โมน Insulin ที่มีหน้าที่ลดน้ำตาลในเลือด กว่าจะออกมาก็เป็นเวลาที่ระดับน้ำตาลได้ลดลงแล้ว ผลก็คือ Insulin ที่ออกมาทีหลัง จะกดระดับน้ำตาลที่ลดลงแล้วให้ยิ่งดิ่งเหวลงไปอีก ผลก็คือทำให้มีอาการหวิวเหมือนใจจะขาด ต้องรีบหาอะไรกินอีก ทำให้คนที่นิยมบริโภคหวานหิวบ่อยกินบ่อย หยุดไม่ได้สักที
1. นมคือเครื่องดื่มที่ดีที่สุด
ค่ะ ข้อความนี้ติดอันดับมหาอมตะนิรันดร์กาลไปแล้ว แต่ข้อมูลใหม่ๆ ที่ออกมาเริ่มเปลี่ยนไปแล้วค่ะ นั่นคือ นมนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว อาจทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ ทั้งนี้เนื่องจาก 1.นมไม่ได้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด ยังมีอาหารประเภทอื่นที่มีแคลเซียมสูงกว่านมอีกมาก เช่น งาดำ, ปลาเล็กปลาน้อย เป็นต้น ปริมาณของแคลเซียมที่มีสูงกว่า ไม่ใช่แค่เท่าหรือสองเท่า แต่ในอาหารบางชนิดเช่น ปลาร้าผง มีแคลเซียมมากกว่านมเกือบ 20 เท่าเลยทีเดียว 2.มีงานวิจัยใหม่ๆ ที่ออกมาว่า คนที่กินนมถึงวันละ 8 ออนซ์ กลับมีภาวะกระดูกผุมากกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มนมถึง 2 เท่า ตรงข้ามกับที่คิดใช่ไหมคะ ทั้งนี้คาดกันว่าเนื่องจากการกินนม นอกจากจะได้แคลเซียมแล้ว ยังได้โปรตีนในปริมาณสูงด้วย การย่อยโปรตีนจะมีผลส่วนหนึ่งในการดึงเอาแคลเซียมออกมาใช้ด้วย ทำให้ร่างกายเสียแคลเซียมไปแทนที่จะได้แคลเซียม ด้วยโปรตีนปริมาณสูงในนมนี้เองเป็นตัวการที่ทำให้กระดูกผุมากกว่าเดิม 3.แม้ จะมีการถกเถียงกันว่า ผักบางชนิดมีแคลเซียมมากกว่านมเสียอีก แต่เหตุผลที่บางคนยังส่งเสริมให้กินนม เพราะคิดว่าแคลเซียมจากนมดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมจากผัก ผลงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาก็ยืนยันผลที่ตรงกันข้ามอีก เพราะพบว่าการดูดซึมแคลเซียมจากนมทำได้แค่ 30% ในขณะที่ผักพวก Broccoli, Brussels sprout, Mustard green, Turnip green และ Kale กลับดูดซึมได้มากกว่า คือประมาณ 40-64% 4.ด้วยปัจจัยใหม่ๆ ในการเลี้ยงวัวนม ทั้งการฉีดฮอร์โมน ทั้งการใช้สารปฏิชีวนะ ทั้งจากตัวโปรตีนในนมเอง พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็งต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก toptenthailand ค่ะ