แหมมม...คนนะคะไม่ใช่ต้นไม้ สังเคราะห์แสงไม่ได้ แต่สวยได้จากสารอาหารนานับประการ ส่วนคลอโรฟิลล์นั้น ก็ถือเป็นการค้นพบแหล่งสารอาหารเพื่อสุขภาพ ความงามใหม่ๆ ที่ใครเขาว่าดี แล้วดีจริงหรือเปล่า? ไปสืบค้นกันดูดีกว่า!
คลอโรฟิลล์คือ...
ที่รู้กันทุกคนคือ สารสีเขียวในต้นไม้ที่มีหน้าที่ดักจับพลังงานจากแสงแดดเพื่อมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง โดยจะทำงานได้ในสภาพที่ไม่ละลายน้ำ...ดูราวกับแผงโซลาร์ซิสเต็มเลยใชไหมล่ะ แต่ต้นไม้อยากดักจับพลังงานมาใช้เพื่อการเจริญเติบโต แล้วเราล่ะ กิน ดื่ม คลอโรฟิลล์กันเข้าไปเพื่ออะไรหรือจ๊ะ?
- สารต้านอนุมูลอิสระ
ค้นพบว่า กระบวนการสังเคราะห์แสงนั้นจะเกิดสารต้านการก่อกลายพันธุ์ที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง และได้ทำหน้าที่เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระ จึงถูกนำมาใช้เป็นอาหารเสริมซึ่งผ่านการสังเคราะห์มาแล้วให้ละลายในน้ำได้ดี(เพราะต้องเอามาใส่ในเครื่องดื่ม) ส่วนกระบวนการของพืชนั้น โมเลกุลของคลอโรฟิลล์จะทำงานได้ในสภาพที่ไม่ละลายน้ำนี่จ๊ะ
- แหล่งคลอโรฟิลล์ ต้องมีในผักใบเขียวอยู่แล้ว ใช่ไหม?
ใช่เลย เราสามารถได้รับคลอโรฟิลล์จากผักใบเขียว โดยเฉพาะผักสดได้ ถ้าอยากจะอินเทรนด์สังเคราะห์แสงกับใครๆ บ้าง ก็จะได้ประโยชน์ จากวิตามินและแร่ธาตุอีกคณานับ และแน่นอนว่า ในผักหลายประเภทที่มีสารต้านอนุมูลอิสระแบบไม่ต้องง้อคลอโคฟิลล์ อย่างเบต้าแคโรทีน ในฟักทอง แครอท ที่รู้ๆกันไงล่ะ
:: คำเตือน ::
- คลอโรฟิลล์ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับสารชนิดนี้เกินวันละ 300 มิลลิกรัม ต่อวัน และในเด็กไม่ควรเกินวันละ 90 มิลลิกรัมต่อวัน นี่คือคำเตือนจาก อย.สหรัฐอเมริกา
- เด็กทารก อายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่ควรได้รับอาหารเสริมชนิดอื่นใดนอกจากนมแม่ เพราะร่างกายของมนุษย์จะพร้อมรับอาหารอื่นโดยธรรมชาติ เมื่ออายุประมาณ 4-6 เดือนขึ้นไป
แล้วควรเชื่อใคร เมื่อฝ่ายหนึ่งบอกว่าดีจริ๊งงง กับอีกฝ่ายอ้างอิงข้อมูลทางวิชาการอีกด้าน? การวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาของเราเอง ผ่านข้อมูลจากหลายๆ แหล่งที่มา ที่เชื่อถือได้ คือกระบวนการที่เลิศล้ำไม่แพ้กระบวนการสังเคราะห์แสงเหมือนกันนะ ดังนั้น ขอแนะนำให้รอบคอบในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ในเมื่อคลอโรฟิลล์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก็ควรดื่ม กิน แต่พอเหมาะ แต่อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการตลาด นั่นคือฉลาดล้ำที่สุดแล้วค่ะ