ประเทศไทยมีพื้นที่ติดชายฝั่งยาวเหยียดทั้งสองฝั่งของด้ามขวานเลยมาถึงใต้คมขวาน คือทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึงเยอะมาก เราจึงมีแหล่งอาหารธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ สมกับที่ว่ากันว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่ปลา แต่ยังมีกุ้ง มีหอย มีปู มีพืชน้ำ โอ๊ย! เยอะแยะจนไม่อยากจะเจียระไนให้ชาติอื่นอิจฉา คนไทยเราจึงหน้าตาดีกันถ้วนหน้า ...ใครว่าไม่เกี่ยว! ก็สุขภาพดีทำให้เราสวยงามจากภายในสู่ภายนอกตามสโลแกนเลยนะ
ปัจจุบัน เรากินไก่ กินหมูกันมากกว่ากินปลา คุณรู้ไหม? เพราะผลการสำรวจช่างน่าตกใจที่คนไทยกินปลาโดยเฉลี่ยเพียงคนละ 32 กิโลกรัมต่อปี ขณะที่คนญี่ปุ่นเขากินปลากันโดยเฉลี่ยคนละ 69 กิโลกรัมต่อปี เชียวนะ! ทั้งที่เรามีปลาสารพัดชนิดให้กิน คนญี่ปุ่นเขาถึงสุขภาพดี หน้าตาสวยหล่อกันถ้วนหน้าไง
ใครยังไม่เชื่อจะบอกให้ ว่าทำไมเราต้องกินปลา...
- ปลามีโปรตีนน้อยกว่าน้ำนมเพียงเล็กน้อย โดยที่ไข่จะมีโปรตีนมากที่สุด แต่ปลาก็ยังชนะเลิศเนื้อสัตว์ประเภทอื่น แม้แต่เนื้อวัว ขณะที่ปลาย่อยง่ายและราคาไม่แพง เพราะคุณไม่จำเป็นต้องเลือกกินปลาราคาแพงกิโลกรัมละหลายร้อยก็ได้นี่นา
- เนื้อปลาย่อยง่าย กระเพาะ ลำไส้ ไม่ต้องทำงานหนัก เคี้ยวก็ง่ายอีกด้วย
- กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายเราสร้างเองไม่ได้ เป็นคุณค่าที่สำคัญต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง ช่วยลดคลอเรสเตอรอลด้วย และช่วยลดอันตรายจากโรคที่เกิดจากทางเดินหายใจ โอเมก้า3 ไม่ได้มีแต่ในปลาทะเลน้ำลึกเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในปลาน้ำจืดบางชนิดมิใช่น้อย เช่น ปลาสวาย และ ปลาช่อน
- ได้คุณค่าจาก DHA ที่ช่วยในการพัฒนาการของสมอง จึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็ก และหญิงมีครรภ์ไปจนถึงขณะให้นมบุตร แม้แต่พวกเราที่โตๆกันแล้ว ก็ยังต้องการ DHA เช่นกัน
- คุณค่าจากธาตุเหล็ก โดยเฉพาะปลาตาเดียว ปลาทู ปลาไส้ตัน ปลากระบอกและปลาหมอไทย มีธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบในการสร้างเม็ดโลหิตแดง ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
- แคลเซียม ฟอสฟอรัส เนื้อปลาส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของแคลเซียมละฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่พอดีต่อการสร้างกระดูกและฟัน
- วิตามินบี1 บี2 และไนอะซิน ทำให้เกิดพลังงานของสารคาร์โบไฮเดรท ไขมันและโปรตีน ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการประกอบการงานและการเรียนรู้ โดยปลาที่มีวิตามินเหล่านี้สูง คือ ปลาทู ปลากราย ปลากระบอก ปลาแป้น ปลาทรายแดง ปลาตะเพียน ปลาหมอไทยและปลาหมึกกล้วย
นอกจากทั้งหมดนี้ ยังมีรายละเอียดทางวิชาการที่หากลงลึกเข้าไปอีก อาจจะเยอะเกินจำได้ แต่ก็เชื่อเถอะว่า ทั้งเนื้อปลา ไข่ปลา กระดูกปลา ล้วนแต่ให้คุณค่าต่อร่างกาย จนต้องมีการนำมาสกัดทำน้ำมันปลา ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการวิตามินเอและดี มากเป็นพิเศษ ส่วนพวกเราที่ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรในวันนี้ ก็ควรหันมาดูแลตัวเองด้วยการเลือกรับประทานปลาจากธรรมชาติให้มากขึ้น และทานเนื้อสัตว์จากฟาร์มให้น้อยลงดีกว่า