อยู่เมืองไทย มีผลไม้ให้เลือกรับประทานกันหลากหลายชนิดตลอดปี และไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับฤดูกาลเสมอไปด้วย สำหรับผลไม้หลายๆ ชนิด อย่าง"มะละกอ" ที่ราคาถูก เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย มีดีหลายอย่าง ทั้งมะละกอสุกที่รับประทานเป็นผลไม้และมะละกอดิบที่ใส่ในแกงส้ม หรือทำส้มตำ มารู้จักคุณค่าอันน่าทึ่งของมะละกอกันดีกว่า!
- ในมะละกอมีพาพาอิน (Papain) เป็นเอ็นไซม์ในการช่วยย่อย นอกจากจะช่วยย่อยอาหารในกระเพาะของเราแล้วยังนำมะละกอมาช่วยหมักให้เนื้อนุ่มได้ด้วยคุณสมบัติของสารอินทรีย์ที่เรียกว่าปาเปน ที่ไปช่วยย่อยโปรตีน
- มะละกอรสหวาน แต่มีน้ำตาลเพียง 10% และไขมัน 0.1% จึงไม่ต้องกลัวอ้วน
- ในมะละกอมีวิตามินเอสูงมาก ซึ่งอยู่ในรูปของแคโรทีนอยด์ โดยมากพบในผลไม้สีเหลือง สีส้ม มีคุณค่าทางชีวภาพสูง ช่วยในการเจริญเติบโต ลดการเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง
- มะละกอสุก แก้ท้องผูกได้ดี ให้ทานมะละกอตอนเช้า บีบมะนาวและโรยเกลือเล็กน้อย จะได้มะละกอสุกรสขาติดี หรืออาจทานกับโยเกิร์ตก็แล้วแต่ความชอบ
- แอสคอบิค หรือวิตามินซีในมะละกอมีอยู่ 33-136 มิลิกรัม ต่อมะละกอ 100 กรัม ขณะที่ร่างกายของเราควรได้รับวิตามินซี วันละ 60-90 มิลลิกรัม
- มีไรโบเฟลวิน หรือวิตามินบี 2 ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโต บำรุงเส้นผมและเล็บ ช่วยระบบเผาผลาญอาหาร
- มะละกอมีสารเพคติน ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร จึงดีสำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะ
- น้ำมะละกอดิบช่วยล้างลำไส้ โดยให้นำมะละกอดิบไปหั่น ล้างยางออกให้หมด นำไปต้ม โดยสามารถใส่ใบเตยเพิ่มความหอมได้ แล้วใช้ดื่มเป็นน้ำชา จะช่วยทำความสะอาดลำไส้ได้
ถือได้ว่าเป็นผลไม้คุณค่าสูงและค่อนข้างสด เพราะถ้าไม่สดก็จะเน่าทานไม่ได้ ขณะเดียวกันสำหรับมะละกอดิบก็ใช้เป็นอาหารจานประจำของสาวๆในทุกๆมื้อ คือ ส้มตำ ซึ่งได้ประโยชน์มากเพราะไม่ได้ผ่านความร้อน แล้วยังได้คุณค่าจากเครื่องปรุงอื่นๆ ที่ขอให้เน้นความสะอาดเอาไว้ก็พอ
อร่อยได้คุณค่าในราคาที่ทานได้ทุกมื้อ วันนี้คุณทานมะละกอกันแล้วหรือยัง?