“ฝ้า” เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ขอบอกเลยว่าเมื่อเป็นแล้ว ยาก ที่จะรักษาให้หายขาด! แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้จริงมั้ย เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อยในการรักษา.. ส่วนใครที่หน้าไม่มีฝ้านั้น ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐแล้วค่ะ แต่ก็อย่าชะล่าใจนะจ๊ะ ป้องกันไว้ก็ไม่เสียหาย จัดไปกับ 5 วิธีรักษา (และป้องกัน) ฝ้าแบบไม่ต้องง้อคลีนิก ♥
1. ล้างหน้าตามแนวโพรงขนช่วยลดฝ้า
เริ่มต้นกันที่การล้างหน้า เพราะการล้างหน้าที่ดีก็สามารถช่วยลดการเกิดฝ้าได้นะทุกคน การล้างหน้าแบบวนไปวนมา ส่งผลให้สิ่งสกปรก สารเคมีจากเครื่องสำอาง ความมัน และมลภาวะบนใบหน้า ตกลงไปในรูขุมขน ส่งผลให้หน้าเป็นสิวอุดตัน หรืออาจก่อให้เกิดฝ้าสะสมได้ เพราะฉะนั้นควรล้างหน้าตามแนวโพรงขน เพื่อช่วยระบายความมัน และสิ่งสกปรก รวมถึงการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยให้ฝ้าเกิดได้ยากขึ้น พร้อมลดการอุดตันของสิว ผิวหน้าเรียบเนียน และรูขุมขนกระชับขึ้น
▲ แนะนำว่าให้ตีโฟมล้างหน้าที่ใช้อยู่ในเป็นฟองนุ่มก่อนการล้าง เพื่อลดการเสียดสีบนผิวอีกทางนึง แต่ถ้าใครใช้เป็นเจลล้างหน้าที่ไม่สามารถตีฟองโฟมได้ก็ไม่เป็นไรนะคะ
▲ วนล้างตามแนวลูกศร เพื่อให้สิ่งสกปรกไม่ตกค้างอยู่ในรูขุมขน
2. มาสก์หน้าด้วยหัวไชเท้า
นำหัวไชเท้าบดหยาบ ๆ ผสมกับนมสดเล็กน้อย (หรืออาจจะเป็นน้ำผึ้งก็ได้) นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง จะสามารถช่วยลดฝ้าให้ดูจางลงได้ หัวไชเท้านอกจากจะช่วยลดฝ้าได้แล้ว ยังช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ ทำให้หน้ากระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย (สูตรนี้ไม่เหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายนะคะ)
▲ ตอนมาสก์อาจจะรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ เล็กน้อย ไม่ต้องตกใจนะคะ (แต่ถ้าล้างออกแล้วยังรู้สึกว่าคันหรือมีผื่นขึ้นให้หยุดใช้สูตรนี้ทันที)
3. ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์
อ๊ะ ๆ ๆ อย่าเพิ่งตรงเข้าครัวไปหยิบน้ำส้มสายชูมานะคะ พร้อมน้ำส้มสายชูที่ว่าเนี่ยคือ “น้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ล” หรือ แอปเปิ้ลไซเดอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดประมาณ 5% (Acetic Acid) มีรสเปรี้ยว มีสีเหลืองคล้ายน้ำชา มีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซียมสูง ช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี โดยให้ทำก่อนล้างหน้าทุกวัน หรืออาจจะทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
▲ ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์กับน้ำอุ่นเล็กน้อย แล้วบิดสำลีให้หมาด ๆ นำมาเช็ดบนผิวหน้าเป็นเวลาประมาณ 10-15 นาที (อาจจะมีกลิ่นฉุนบ้างระหว่างเช็ด)
4. กันแดดเข้าไปอย่าให้ขาด
สาเหตุหลักของการเกิดฝ้าแน่นอนอันดับต้น ๆ ก็คือแสงแดด และความร้อน เพราะฉะนั้นครีมกันแดดที่มี SPF50 PA เป็นอะไรที่ “ต้องมี” ไม่ควรขาดเลยสำหรับคนเป็นฝ้า ยังเป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ ผิวไหม้ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นโรคมะเร็งผิวหนังเลยทีเดียว ดังนั้นครีมกันแดดมีหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสียูวี ช่วยดูดซับ ป้องกันไม่ให้รังสีทะลุเข้าไปถึงชั้นผิว ทำให้รังสียูวีแตกกระจายออกไปไม่เข้ามาทำร้ายผิว
▲ ปริมาณการใช้ครีมกันแดดคือประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ
วิธีการทากันแดดให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงสุดคือ ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาที และเมื่อออกกลางแจ้งนาน ๆ ควรทาซ้ำทุก ๆ 6 - 8 ชั่วโมง แต่ถ้าใครเป็นคนมีเหงื่อมาก หรือเล่นกิจกรรมทางน้ำก็อาจจะต้องทาซ้ำบ่อยกว่าเดิม
5. คืนความมั่นใจให้ผิวหน้าด้วยครีมทาฝ้า
อีกหนึ่งวิธีรักษาฝ้าที่จำเป็นเลยก็คือใช้ “ครีมทาฝ้า” ครีมทาฝ้าจะช่วยให้ ฝ้า กระ แลดูจางลงได้อีกทาง ครีมทาฝ้าที่ดีจะต้องไม่ยิ่งทำให้ผิวหน้าของเราบางลง เพราะไม่อย่างนั้นเมื่อเราหยุดใช้ “ฝ้า” ก็อาจจะกลับมาถามหาอีกก็เป็นได้
ครีมทาฝ้า Concept Anti-Melasma Cream ครีมรักษาฝ้าคอนเซ็ปท์ที่ไม่ทำร้ายผิวหน้า ไม่ทำให้ระคายเคือง หน้าไม่บาง ไม่ทำร้ายผิว ช่วยให้ ฝ้า กระ แลดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติภายใน 3 สัปดาห์ รับรองประสิทธิภาพโดยแพทย์ผิวหนังจากสถาบัน SpinControl Asia
พร้อมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เพราะผสานด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น วิตามินบี 3, วิตามินอี, อัลฟ่าอัลบูติน, สารสกัดจากเมล็ดถั่ว, สารสกัดจากชะเอม, สารสกัดจากว่านหางจระเข้ และ Multi whitening ไม่มีสารอันตราย เช่น สารพาราเบน, ไฮโดรควิโนน, กรดวิตามินเอ หรือสารปรอทที่ทำให้หน้าด่างขาว ที่สำคัญไม่ทำให้หน้าบาง และเมื่อฝ้าหายแล้วก็สามารถหยุดใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียง
S P O N S O R E D C O N T E N T