เชื่อว่ามีสาว ๆ จำนวนไม่น้อยเคยเกิดความสงสัยว่า ครีมนวด ทรีตเมนต์ และครีมหมักผม แตกต่างกันยังไง? แล้วใช้ตัวไหนดีกว่ากัน ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าถึงแม้ทั้งสามตัวจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผมเหมือนกันแต่เค้าก็มีความแตกต่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งวันนี้ *Cosmenet จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับครีมนวด ทรีตเมนต์ และครีมหมักผมให้มากขึ้นกันค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าผมของเราเหมาะกับผลิตภัณฑ์ตัวไหนก็ตามมาดูกันเลยค่าา~
ครีมนวด ทรีตเมนต์ และครีมหมักผม คืออะไร?
เป็นผลิตภัณฑ์ที่มักจะวางขายคู่กับแชมพูสระผม ซึ่งหน้าที่หลักของเค้าคือช่วยปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มลื่น ไม่พันกัน หลังจากการทำความสะอาดผมด้วยแชมพู ซึ่งสามารถบำรุงได้เพียงเกล็ดผมด้านนอกเท่านั้น ไม่สามารถซึมลึกลงไปถึงแกนผมได้ค่ะ
เชื่อว่ามีหลายคนเข้าใจผิดว่าครีมนวดและทรีตเมนต์เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผมตัวเดียวกัน แต่ต้องบอกเลยว่าทั้งสองตัวตัวนี้เค้าแตกต่างกันจริง ๆ ค่ะ เพราะทรีตเมนต์จะมีส่วนประกอบของสารบำรุงมากกว่าและมีอนุภาคเล็กกว่าครีมนวด ทำให้สามารถบำรุงได้อย่างล้ำลึกตั้งแต่เกล็ดผมไปจนถึงเนื้อผมนั่นเองค่า
เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผมสูตรเข้มข้นพิเศษเลยก็ว่าได้ค่ะ โดยเค้าจะอัดแน่นไปด้วยสารที่ช่วยบำรุงเส้นผมได้ล้ำลึกกว่าครีมนวดทั่วไป และมีส่วนประกอบของน้ำมันธรรมชาติมากกว่าน้ำ ทำให้เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง สามารถบำรุงเส้นผมได้ถึงแกนผม ช่วยฟื้นฟูผมที่แห้งเสียชี้ฟูให้กลับมามีน้ำหนักและเงางามขึ้นทันทีหลังสระเลยค่ะ
ครีมนวด ทรีตเมนต์ และครีมหมักผม เหมาะกับใคร?
- ครีมนวด (Conditioner) : เหมาะกับทุกสภาพเส้นผม สามารถใช้ได้ทุกวันหลังสระผมด้วยแชมพู
- ทรีตเมนต์ (Treatment) : เหมาะกับคนที่มีปัญหาผมแห้งเสีย ชี้ฟู ต้องการการบำรุงขั้นสุดในทุก ๆ วัน หลังสระผมด้วยแชมพูแล้วสามารถใช้แทนครีมนวดได้เลยค่ะ
- ครีมหมักผม (Hair Mask) : เหมาะกับทุกสภาพเส้นผม โดยเฉพาะคนที่มีผมชี้ฟู จัดทรงยาก ใช้หมักผมแค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง สำหรับสาว ๆ คนไหนที่มีผมเส้นเล็กไม่ควรใช้ครีมหมักผมบ่อยจนเกินไปนะคะ เพราะเนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง อาจจะทำให้มีปัญหาผมลีบแบนจนเกินไปได้ค่าา
รีวิวครีมนวด ทรีตเมนต์ และครีมหมักผม ใช้แล้วแตกต่างกันยังไง?
มาเริ่มกันที่ครีมนวดกันก่อนเลยค่ะ สำหรับใครที่เคยใช้ก็จะรู้กันที่ค่ะว่าเนื้อของเค้าค่อนข้างเหลวเลย เพราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งข้อดีคือ เค้าจะสามารถกระจายตัวได้ดี และใช้งานง่าย แต่ข้อเสียคือ บำรุงได้เพียงเกล็ดผมด้านนอกเท่านั้น ไม่สามารถซึมลึกลงไปถึงแกนผมได้ ผลลัพธ์ที่ได้หลัก ๆ เลยคือ ทำให้ผมไม่พันกัน ไม่ชี้ฟู และไม่หยาบกระด้าง
ผลลัพธ์หลังใช้ : หลังใช้รู้สึกว่าหวีง่าย ผมไม่ค่อพันกัน ส่วนเรื่องความนุ่มลื่นอยู่ในระดับปานกลางค่ะ ผมยังไม่ค่อยมีน้ำหนักและมีวอลลุ่มเท่าที่ควร หลังเป่าแป้งแล้วน่าจะต้องเซ็ตผมอีกรอบนึงค่ะ
ผลิตภัณฑ์บำรุงผมตัวต่อมาเป็นทรีตเมนต์ นอกจากเค้าจะเนื้อที่เข้มข้นและมีสัดส่วนของสารบำรุงมากกว่าครีมนวดแล้ว ยังมีอนุภาคที่เล็กลงด้วย ทำให้สามารถบำรุงเส้นผมได้ล้ำลึกกว่า โดยใช้เวลาพอ ๆ กับครีมนวด ซึ่งสาว ๆ สามารถใช้ทรีตเมนต์แทนครีมนวดได้เลยค่ะ
ผลลัพธ์หลังใช้ : รู้สึกแตกต่างจากตอนใช้ครีมนวดเลยค่ะ ผมนุ่มลื่น จัดทรงง่าย ไม่ค่อยชี้ฟู และดูมีวอลลุ่มขึ้นด้วย หลังเป่าแห้งแค่หวีผมก็อยู่ทรงสวยแทบไม่ต้องเซ็ต หรือหนีบผมเพิ่มเลยค่าา เลิฟฟฟ~
อย่างที่เราเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าครีมหมักผมมีส่วนประกอบของน้ำมันธรรมชาติมากกว่าน้ำ ทำให้เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูงกว่าครีมนวดและทรีตเมนต์ ข้อดีคือ ทำให้ผมนุ่มลื่น ดูมีน้ำหนัก และเงางามขึ้นทันทีหลังสระเลยค่ะ แต่ในทางกลับกันก็ต้องใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ในการหมักผม จึงไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากจะต้องใช้เวลานานแล้ว ด้วยความที่เค้ามีเนื้อที่เข้มข้นสูงอาจะทำให้สาว ๆ ผมลีบแบนได้ แนะนำให้ใช้แค่อาทิตย์ละ 2 ครั้งก็พอแล้วน้าา
ผลลัพธ์หลังใช้ : ส่วนตัวรู้สึกชอบผลลัพธ์นะคะ เค้าช่วยลดผมชี้ฟู ทำให้ดูมีน้ำหนัก และจัดทรงง่ายขึ้นจริงค่ะ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนผมเส้นเล็ก เวลาหมักผมจะชอบมีปัญหาผมลีบแบนเกินไป ดูไม่มีวอลลุ่มเลย TT
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับวันนี้ที่เราพาสาว ๆ ทุกคนมาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์บำรุงผมทั้ง 3 ตัวอย่าง ครีมนวด ทรีตเมนต์ และครีมหมักผม สำหรับใครที่กำลังลังเลว่าจะซื้อตัวไหนดี ลองอ่านรีวิวแล้วตัดสินใจเลือกซื้อให้เหมาะกับสภาพเส้นผมและความต้องการของตัวเองกันได้เลยน้าค้าา