เทรนด์หน้าใสมาแรงที่น่าสนใจช่วง 2-3 ปีมานี้ก็คือการใช้เรตินอล หรือสารกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เพื่อบำรุงผิวของเราให้ดูเด็กอ่อนเยาว์ เป็นหนึ่งในส่วนผสมสกินแคร์ลดริ้วรอยแห่งยุคก็ว่าได้!
ใครที่รู้จักอยู่แล้วก็คงรู้สรรพคุณกันดี ส่วนใครที่ยังสงสัยว่า Retinol (เรตินอล) คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง แล้วมีข้อควรระวังอะไรสำหรับการใช้เรตินอล เพื่อความหน้าใสแบบไม่งง เราไปไขข้อสงสัยด้วยกันเลยค่าาาา
Retinol (เรตินอล) กับ Retinal (เรตินัล) ต่างกันอย่างไร
Retinol คือส่วนผสมมาแรงจริง ๆ ในสกินแคร์ลดริ้วรอยและแก้ปัญหาสิว เค้าเป็นสารจำพวกวิตามินเอ ซึ่งสารกลุ่มนี้ก็มีหลายตัวจนพาลให้งงเป็นไก่ตาแตกเวลาจะเรียกแต่ละที โดยเฉพาะเจ้าพี่น้องสองสหาย เรตินอล (Retinol) กับ เรตินัล (Retinal หรือ Retinaldehyde) ที่ดูเผิน ๆ จะทำหลายคนเข้าใจผิดได้ เพราะเขียนคล้ายกันแถมสรรพคุณของเค้าก็ใกล้เคียงกันด้วย
จุดที่เหมือนกันของ Retinol และ Retinal
จุดที่เหมือนกันคือทั้งสองล้วนเป็นสารในกลุ่ม เรตินอยด์ คือตระกูลของเจ้าพวกวิตามินเอ และอนุพันธ์ของวิตามินเอทั้งหลายนั่นเอง คุณสมบัติที่ดีต่อผิวของ Retinal และ Retinol คือ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้การสร้างผิวชั้นลึกทำได้ไวขึ้น รูขุมขนเล็กลง สามารถปรับโครงสร้างชั้นผิวลดการอุดตัน ทำให้ retinol รักษาสิวได้ด้วย และจุดเด่นเลยก็คือ ลดแก่ ลดริ้วรอย สามารถลด fine line ทำให้หน้าเด็ก //อย่าลืมทาคอด้วยเพื่อย้อนวัยผิวคอให้เต่งตึงเหมือนกับหน้าเนอะ
จุดที่แตกต่างกัน Retinol และ Retinal
แม้จะอยู่ตระกูลเดียวกันแต่ไม่ได้เหมือนกันไปเสียทุกอย่างค่ะ ต้องอธิบายก่อนว่าสารกลุ่มวิตามินเอจะทำงานกับผิวเราได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในรูปของ Retinoic acid ซึ่งความแตกต่างที่ชัดเจนของเค้าก็คือการแปลงร่างโดยเอนไซม์บนผิวก่อนจะอยู่ในรูป Retinoic acid นั่นเองค่ะ เรียงลำดับให้เห็นภาพได้ดังนี้
Retinol >>> Retinal >>>> Retinoic acid
ซึ่งจะเห็นได้เลยว่าจาก Retinol จะต้องผ่านการแปลงร่างถึง 2 ครั้ง ในขณะที่ Retinal แปลงร่างเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำงานกับผิวเราได้แล้ว แต่รู้มั้ยคะว่าเมื่ออยู่ในรูปแบบของ Retinoic acid ก็ยิ่งให้ผลลัพธ์ได้ดี แต่ก็ยิ่งแรงและเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวมากกว่าด้วยนะ
ดังนั้นก็สรุปได้ง่าย ๆ เลยค่ะว่า
- Retinol จะอ่อนโยนกว่าและประสิทธิภาพไม่แรงเท่า Retinal ใช้ในสกินแคร์ความเข้มข้นตั้งแต่ 0.01-1% แล้วแต่จะเลือกใช้ให้เหมาะกับผิวเลยค่า*
- Retinal แน่นอนว่าแรงกว่า อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้มากกว่า และก็เห็นผลได้ดีกว่า Retinol นั่นเองจ้าา ด้วยความจี๊ดของเค้า จึงใช้ในสกินแคร์ความเข้มข้น 0.05-0.1% คือรู้เรื่อง!
*ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของสกินแคร์และสภาพผิวแต่ละคนว่าเข้ากับสารแบบไหนมากกว่ากันจ้า
Retinal & Retinol ข้อควรระวัง
-ผู้ตั้งครรภ์ห้ามใช้อย่างเด็ดขาด
-ใช้เรตินอลแล้วต้องทาครีมกันแดดทุกวันด้วยนะจ๊ะ
-ผิวบอบบางหลีกเลี่ยงการใช้พร้อมกับ BP AHA BHA และวิตามินซี
(ถ้าอยากใช้ด้วยกันแนะนำให้ใช้แยกกันเช้า-เย็นนะคะ เพื่อลดโอกาสในการระคายเคืองค่ะ)
รู้กันไปแล้วว่าทั้งสองเหมือนและต่างกันยังไง ทั้งเรตินัลและเรตินอล ช่วยเรื่องอะไร และมีข้อควรระวังยังไงบ้างก็คงคลายข้อสงสัยไปได้ละเนอะ เวลาเลือกใช้ Retinol และ Retinal จะได้ไม่ต้องงง
นี่แค่คร่าว ๆ เรื่องราวเค้ายังมีอีกเยอะะะ ใครที่อยากรู้เรื่องสกินแคร์ลดริ้วรอยอย่างเรตินอลให้มากกว่านี้ก็มาคอมเมนต์กันหน่อยน้าาา เราจะได้นำมาเม้ามอยให้ฟังกันอีก หรือใครเข้าวงการหน้าเด็กด้วยการใช้ retinol แล้วก็มาปักหมุดและชวนเพื่อน ๆ เข้าแก๊งกันได้ที่คอมเมนต์เล้ยยย จะรออ่านน้าาา~
ถ้าสกินแคร์ลดริ้วรอยอย่างเดียวเอาไม่อยู่ มานวดหน้ากันหน่อยดีกว่า ใครอยากหน้ายกกระชับมีเลือดฝาดก็ตามมาโลดด
VVV