เช็กเลย! 5 ลักษณะไฝ ขี้แมลงวันอันตราย สัญญาณมะเร็งผิวหนัง

ไฝ ขี้แมลงวันจุดเล็ก ๆ ที่เราไม่ทันสังเกตว่าขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน อาจเป็นสัญญาณสุขภาพที่สำคัญและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพใหญ่ ๆอย่างมะเร็งผิวหนังได้ แล้วจริง ๆ มีไฝ มีขี้แมลงวัน อันตรายต่อสุขภาพมั้ย บอกเลยว่าไฝและขี้แมลงวันบางประเภท หากเราละเลยการสังเกตความผิดปกติไปแม้แค่เล็กน้อยอาจส่งผลเสียให้กับร่างกายอย่างคาดไม่ถึงได้ค่ะ!

วันนี้ *Cosmenet จะพาไปดูลักษณะของไฝ ขี้แมลงวัน ที่อันตราย และเสี่ยงที่จะเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ จังหวะนี้เริ่มมองหาไฝ หาขี้แมลงวันบนร่างกายกันแล้วใช่มั้ยคะ ถ้าอยากรู้ว่าไฝที่ผิดปกติเป็นยังไง และเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ไปดูกันเลย!

มะเร็งผิวหนัง เกิดจากอะไร?

มะเร็งผิวหนัง หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Skin cancer หรือ Cutaneous carcinoma เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ แต่สามารถจำแนกได้ประมาณนี้เลยค่ะ

• การสัมผัสแสงแดด: รังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง ยิ่งถ้าเราไม่ได้ทาครีมกันแดด ไม่กางร่ม หรือไม่ใส่หมวกเพื่อป้องกันผิวหน้า และผิวกายจากแสงแดดแล้ว บอกเลยว่ารับความเข้มข้นจากแสงแดดไปเต็ม ๆ นอกจากจะผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้แล้ว มะเร็งผิวหนังก็จ่อคิวรอไม่ไกลด้วยนะคะ
• พันธุกรรม: บางคนอาจมีการส่งต่อเซลส์มะเร็งกันผ่านพ่อแม่สู่ลูก หรือมีประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัวอยู่แล้ว ตรงนี้ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไปค่ะ
• การใช้สารเคมี: การใช้เครื่อสำอาง สกินแคร์ ที่มีสารเคมีอันตรายเป็นส่วนประกอบ อาจส่งผลเสียกับผิวหนังและเป็นสารตั้งต้นที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ เช่น น้ำยาล้างจาน ครีมอาบน้ำ ครีมกันแดด และเครื่องสำอางอื่น ๆ จึงต้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้ดี หรือมาเช็กข้อมูลที่ *Cosmenet ก็ได้น้า
• การสูบบุหรี่: ในบุหรี่มีสารเคมีที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง และส่งผลต่อการสะสมการทำลาย DNA ในเซลล์ผิวหนังได้ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งช่องปาก มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งชนิดอื่น ๆ ขึ้นได้ค่ะ
• พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น การไม่ดูแลสุขภาพผิวหนังให้เหมาะสม การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือการทานอาหารที่ไม่เหมาะสม อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดผลเสียในร่างกายขึ้นได้ โดยเฉพาะตัวร้ายอย่างอนุมูลอิสระในร่างกายที่ส่งผลเสียต่อผิว ผม สุขภาพได้มากมายกว่าที่คิดเลยค่ะ

อ่านแล้วเริ่มจิตตกแล้วค่ะพส. มันดูอันตรายกว่าที่คิดอีกนะ! แล้วไฝและขี้แมลงวันแบบไหนที่มันอันตราย หรือเป็นสัญญาณของมะเร็งผิวหนังล่ะ ไปเช็กกันต่อเลยค่า ~

ไฝ ขี้แมลงวัน กลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ยังไง?

ไฝ และขี้แมลงวัน เกิดจากเซลล์ที่เรียกว่าเมลาโนไซต์ (Melanocyte) อยู่ตรงผิวหนังชั้นกำพร้าที่รวมตัวกันสร้างเม็ดสีที่มากกว่าปกติ จนทำให้เกิดเป็นตุ่มสีต่าง ๆ ทั้งสีขาว สีชมพู สีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ และจะเกิดกับคนผิวขาวมากกว่าคนผิวคล้ำด้วย

ไฝ ขี้แมลงวัน อันตรายไหม? โดยทั่วไป ไฝและขี้แมลงวัน จะไม่เป็นอันตราย เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีใต้ผิวหนังเท่านั้น แต่ไฝ และขี้แมลงวันบางชนิดก็สามารถพัฒนาไปเป็นเซลส์มะเร็งเมลาโนมา (Melanoma) ได้เหมือนกัน เนื่องจากปัจจัยสุขภาพ และการถูกกระตุ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นอายุ พันธุกรรม แสงแดด สารเคมี
โดยมะเร็งผิวหนังจะส่งสัญญาณผ่านการที่ร่างกายเริ่มมีไฝ และขี้แมลงวันใหม่ ๆ ทั้งที่อายุเข้าสู่วัยผู้ใหญ่หรือ 30 ปีขึ้นไปแล้วนั่นเอง เราจึงควรหมั่นสังเกตว่ามีไฝใหม่แปลก ๆ เกิดขึ้นบริเวณไหนบ้าง และไฝ หรือขี้แมลงวันอันเดิมเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างจ้า

ลักษณะของไฝ ขี้แมลงวัน ที่เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง

ลักษณะไฝ ขี้แมลงวัน ที่เป็นสัญญาณเตือนของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง มีลักษณะ ดังนี้

• Asymmetry ครึ่งหนึ่งของไฝมีลักษณะต่างจากบริเวณอื่น ปกติไฝจะมีความสมมาตร หรือเป็นวงชัดเจน แต่ไฝ ขี้แมลงวัน ที่ไม่ปกติจะไม่สมมาตรกันนั่นเอง
• Border ขอบเขตของไฝไม่สม่ำเสมอ เส้นขอบผิดปกติ หรือขอบเขตไม่ชัดเจน และอาจสามารถขยายออกไปได้เรื่อย ๆ
• Color ไฝที่มีสีดำหรือมีหลายสีในไฝเม็ดเดียว เช่น มีทั้งสีแทน สีดำ บางครั้งมีสีน้ำเงินหรือสีแดงในไฝ 1 เม็ด
• Diameter ไฝที่มีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตรและเพิ่งเกิดขึ้นบนร่างกาย เพราะโดยปกติถ้าเป็นไฝตั้งแต่เกิด อาจมีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลิเมตรได้ แต่หากเป็นไฝที่เพิ่งเกิดเมื่ออายุเยอะแล้ว จะมีขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร และเรียบ ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก หรือที่เราเห็นว่าเป็นขี้แมลงวันนั่นเอง
• Evolving ไฝที่มีการเปลี่ยนแปลงของสี รูปร่าง ขนาด ที่โตเร็วผิดปกติหรือมีเลือดออก เป็นขั้นกว่าของ Diameter อีกที ไฝชนิดนี้ ควรต้องรับการวินิจัยและรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ

สำหรับวิธีรักษาไฝ ขี้แมลงวัน ที่ผิดปกติ หรือดูแล้วหวั่นใจจังเลยว่ามันจะเป็นไฝอันตรายแบบในบทความนี้หรือเปล่า ทาง *Cosmenet แนะนำว่าให้เข้าไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรงเพื่อการวินิจฉัยอย่างแท้จริงและการหาวิธีรักษาที่เหมาะกับอาการของแต่ละคนอีกทีนะคะ ^^