ถ้าย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ผู้บริโภคมักเลือกซื้อสินค้าจาก ราคา โปรโมชั่น ชื่อเสียงของแบรนด์ หรือพรีเซ็นเตอร์ดาราดัง แต่ในปี 2025 ปัจจัยเหล่านี้อาจไม่ใช่เหตุผลหลักในการตัดสินใจซื้ออีกต่อไป เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่ละเจเนอเรชันมีวิธีคิด วิธีเลือกสินค้า และแพลตฟอร์มที่ใช้แตกต่างกัน
แล้วแบรนด์เครื่องสำอางต้องปรับตัวยังไง?
Cosmenet* ได้สรุป 3 ประเด็นสำคัญที่แบรนด์เครื่องสำอางต้องจับตาในปี 2025 มาให้ในโพสต์นี้
- ภาพรวมพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค 2025 ข้อมูลเทคโนโลยี และ AI กำหนดการตัดสินใจซื้อของผู้คนมากขึ้น
- 4 กลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์เครื่องสำอางต้องใช้ในปี 2025 เพื่อมัดใจผู้บริโภค
- 4 แบรนด์ความงาม ตัวอย่างที่ใช้เทคโนโลยีและอินไซต์ มัดใจผู้บริโภค
1. ภาพรวมพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค 2025 ข้อมูลเทคโนโลยี และ AI กำหนดการตัดสินใจซื้อของผู้คนมากขึ้น
- วิธีการตัดสินใจซื้อสินค้าที่เปลี่ยนไป
ปัจจุบันการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบหรืออารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่กลับมีความซับซ้อนในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น จากข้อมูลของ Beauty & Wellness ปี 2025 โดย Nielsen Thailand พบว่า 57% ของผู้บริโภคในกลุ่ม Beauty & Wellness ให้ความสำคัญกับการทำ Extended Research หรือการค้นหาข้อมูลเชิงลึกก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการอ่านรีวิว เปรียบเทียบราคา หรือศึกษาส่วนผสมและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
ในขณะเดียวกัน พฤติกรรมการซื้อแบบฉับพลัน (Impulse Purchase) ลดลงเหลือเพียง 18% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยุคใหม่มีแนวโน้มที่จะใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น แทนที่จะซื้อสินค้าเพียงเพราะอารมณ์หรือการกระตุ้นจากโฆษณาเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความคาดหวังต่อสินค้าที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถตอบโจทย์การใช้งาน และให้ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ที่น่าสนใจคือความภักดีต่อแบรนด์ก็จะลดลงด้วย หากผู้บริโภคพบสินค้าหรือบริการอื่นดีกว่า พวกเขาก็พร้อมเปลี่ยนใจไปลองของใหม่ทันที
- ความสำคัญของการพึ่งพาเทคโนโลยีและข้อมูล
เทคโนโลยีและข้อมูลกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ เรียกง่าย ๆ ว่ามีการใช้เทคโนโลยีในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลไปจนถึงการซื้อสินค้า ทำให้ Social Commerce มีบทบาทมากขึ้น เพราะทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกดูข้อมูล รีวิว และซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียได้ในที่เดียว
ขณะเดียวกัน Mobile-First ก็เป็นสิ่งสำคัญที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ทำให้ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบแพลตฟอร์มที่เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น รูปแบบหน้าร้านในแต่ละแพลตฟอร์ม
ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือเสริม แต่เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดว่าผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ใด
- ตัวอย่างเทรนด์ที่เกิดขึ้น เช่น การใช้ AI เพื่อช่วยตัดสินใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มอย่าง ChatGPT หรือ Google Gemini กำลังกลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในการเลือกซื้อสินค้า
ขณะเดียวกันเราก็เริ่มเห็นหลาย ๆ แบรนด์มีการใช้ที่ AI Chatbot ที่สามารถตอบคำถาม ให้ข้อมูลสินค้า และแนะนำการซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมงมาใช้งานกันบ้างแล้ว
นอกจากนี้ Personalized Recommendations ยังช่วยให้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้แม่นยำยิ่งขึ้น
หรือจะเป็น Virtual Try-On ก็เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถลองเครื่องสำอางแบบเสมือนจริงผ่าน AR/VR ก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น แพลตฟอร์มที่สามารถวิเคราะห์เฉดสีผิวเพื่อเลือกเครื่องสำอางที่เหมาะสม หรือแอปพลิเคชัน AR ที่ให้ลูกค้าลองแต่งหน้าเสมือนจริงผ่านสมาร์ทโฟนก่อนตัดสินใจซื้อ
2. กลยุทธ์ที่แบรนด์เครื่องสำอางควรใช้
- การผลิตคอนเทนต์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายมากขึ้น
การสร้างคอนเทนต์ให้ตรงใจผู้บริโภคแต่ละ Generation เป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารทางการตลาด เนื่องจากพฤติกรรมการเสพสื่อของแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
- Gen Z (เกิดปี 1997-2012) : ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับรีวิวจากผู้ใช้จริงมากกว่าโฆษณา ทำให้ Community และ User-Generated Content (UGC) เป็นปัจจัยสำคัญในการทำตลาด คนกลุ่มนี้จะชอบคอนเทนต์สั้นและสนุก เช่น TikTok, Reels และ YouTube Shorts และตัดสินใจซื้อโดยอิงจากความเห็นของเพื่อนหรือ KOL/KOC ที่น่าเชื่อถือมากกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม
- Gen Y (เกิดปี 1981-1996) : ผู้บริโภคลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ Omnichannel ในการซื้อสินค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ ความยั่งยืน และความโปร่งใสของแบรนด์ คนกลุ่มนี้มักเลือกสินค้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่มีความรับผิดชอบ อีกทั้งยังใช้เวลาอ่านรีวิวเชิงลึก เช่น รีวิวสินค้าและ How-to และเปรียบเทียบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้รายงานของ Nielsen Thailand ยังระบุว่า 71% ของ Gen Y และ Gen Z ให้ความสำคัญกับรีวิวเชิงลึกเกี่ยวกับส่วนผสมและผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้ออีกด้วย
- Gen X (เกิดปี 1965-1980) : ผู้บริโภคลุ่มนี้จะมีความภักดีต่อแบรนด์สูง มักเลือกใช้สินค้าที่เคยใช้และไว้วางใจมากกว่าการลองของใหม่หากยังตอบโจทย์อยู่ คนกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ เช่น รีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังนิยมค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ของแบรนด์และ Search Engine เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจซื้ออีกด้วย
- Baby Boomers (เกิดปี 1946-1964) : ผู้บริโภคลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและคุณภาพของสินค้ามากกว่าความหรูหราหรือตามกระแส นิยมสินค้าที่มีอายุการใช้งานยาวนานและราคาสมเหตุสมผล

- การใช้ Social Proof และนำเสนอแบบโปร่งใส ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์
เช่น การแสดงจำนวนคนใช้จริง การบอกส่วนผสมอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ การใช้ Social Proof และ รีวิวจากผู้ใช้จริง ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพราะผู้บริโภคมักเชื่อในประสบการณ์ของคนที่เคยใช้สินค้าจริงมากกว่าโฆษณาของแบรนด์
นอกจากนี้ รีวิวจากผู้ใช้จริง โดยเฉพาะ UGC (User-Generated Content) เช่น คอมเมนต์บนโซเชียลมีเดีย รีวิวจาก Influencer การแชร์ประสบการณ์จากลูกค้า หรือความคิดเห็นจาก Community จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ เพราะถือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสะท้อนการใช้งานจริง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ ความโปร่งใสของแบรนด์ ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับ ส่วนผสมและผลกระทบของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่เลือกใช้ปลอดภัยและมีคุณภาพ
แบรนด์ที่สามารถสื่อสารข้อมูลเหล่านี้อย่างชัดเจนและจริงใจ จะสามารถสร้างความไว้วางใจและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะฉะนั้นแบรนด์ที่สามารถสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจนและจริงใจ ควบคู่ไปกับการใช้ Social Proof และ รีวิวจากผู้ใช้จริง อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวได้นั่นเอง
- การตลาดผ่าน Influencer ไม่พอ ต้องเพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้นด้วย
การเลือก KOL/KOC ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม เพิ่มช่องทางการซื้อทั้งออฟไลน์และออนไลน์ แบรนด์ที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดเครื่องสำอางจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทั้งกลยุทธ์การสื่อสาร และ ประสบการณ์การซื้อที่สะดวกสบาย
โดย Influencer Marketing ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมและถือว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในยุคนี้ค่อนข้างสูง แต่การเลือก KOL (Key Opinion Leader) และ KOC (Key Opinion Consumer) ที่เหมาะสมกับแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง เช่น
KOL คือผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก การจ้างกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ในขณะที่ KOC เป็นผู้บริโภคทั่วไปที่ใช้สินค้าจริงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของคนรอบข้าง การเลือกจ้างกลุ่มนี้จะทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีบทบาทที่แตกต่างกันในการผลักดันการตลาดของแบรนด์
ขณะเดียวกันความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการซื้อที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ระบบจัดส่งที่รวดเร็ว และ บริการหลังการขายที่ดี
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจร ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การตัดสินใจซื้อ ไปจนถึงประสบการณ์หลังการซื้อ
ดังนั้น Influencer Marketing และความสะดวกสบายในการซื้อจึงเป็นสองปัจจัยที่ช่วยเสริมกัน แบรนด์ที่สามารถใช้ทั้งสองกลยุทธ์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้นนั่นเอง
- การพัฒนาเทคโนโลยี AR/VR และ AI : เช่น การลองเครื่องสำอางออนไลน์
สุดท้ายเทคโนโลยี AR/VR กำลังเปลี่ยนประสบการณ์การซื้อเครื่องสำอางของผู้บริโภคในยุคนี้ เช่นช่วยให้ผู้บริโภคสามารถลองเครื่องสำอางออนไลน์ผ่าน Virtual Try-On รวมถึงการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ AI Chatbot ยังเข้ามามีบทบาทในการให้คำแนะนำตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าให้สะดวกมากขึ้น
ซึ่งการนำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้ในธุรกิจ ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจในการเลือกซื้อเท่านั้น แต่ยังเสริมประสบการณ์ให้ลูกค้า ในด้านความสนุก กระตุ้นการมีส่วนร่วม และทำให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้มากขึ้น
อีกทั้งยังเชื่อในคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและเน้นอ่านประโยชน์ของสินค้าเป็นหลัก เช่น บทวิเคราะห์จากแพทย์หรือเภสัชกร หรือบทความเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์
3. ตัวอย่างแบรนด์ความงาม ที่พลิกเกมตลาด ด้วยเทคโนโลยีและอินไซต์ผู้บริโภค
- L'Oreal สังเกตเห็นว่าผู้บริโภคต้องการทำสีผมแบบ Ombre ด้วยตัวเองมากขึ้น แต่ยังขาดผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม แบรนด์จึงพัฒนาชุดทำสีผม Ombre DIY ที่ใช้งานง่าย ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากแบรนด์นำสินค้านี้ออกขายคือได้รับการตอบรับที่ดี เพิ่มยอดขายในหมวดผลิตภัณฑ์ทำสีผม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ในกรณีนี้ทำให้เห็นว่า การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและการปรับตัวตามเทรนด์ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์มีจุดยืนในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
- แคมเปญของ OLAY ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์สภาพผิวเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน โดยให้ผู้ใช้ ถ่ายเซลฟี่และตอบคำถามเกี่ยวกับผิว จากนั้นระบบจะวิเคราะห์อายุผิวและแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค
ซึ่งการออกแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่ม ความแม่นยำ ความสะดวก และการมีส่วนร่วมของลูกค้า พร้อมทั้งทำให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลเชิงลึก เพื่อพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้อีกด้วย
- SK-II เปิดตัว Future X Smart Store ซึ่งเป็นร้านค้าอัจฉริยะไร้พนักงานที่ผสมผสานเทคโนโลยี AI, Facial Recognition, AR และ Smart Sensors เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ล้ำสมัย โดยลูกค้าสามารถใช้ Magic Ring AI Skin Scan วิเคราะห์สภาพผิวโดยไม่ต้องสัมผัส และรับคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตนเองผ่านจอ Interactive
นอกจากร้านค้าอัจฉริยะแล้ว SK-II ยังเปิดตัว Smart Bottle ซึ่งเป็นขวดที่มาพร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ สามารถตรวจจับได้ว่าเมื่อใดที่ขวดถูกเปิดหรือปิด และบันทึกการใช้งานของลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน และนำข้อมูลเหล่านี้ไปให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ซึ่งแคมเปญนี้จะช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวและล้ำสมัยมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเชื่อมต่อออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ ทำให้แบรนด์สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการ ความสะดวกและการดูแลที่เฉพาะตัว
- The Ordinary แบรนด์สกินแคร์ที่โดดเด่นเรื่องความโปร่งใสของแบรนด์ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แบบละเอียด ทำให้ผู้บริโภครู้ว่าพวกเขากำลังใช้สารอะไร และคาดหวังผลลัพธ์แบบไหนได้บ้าง
นอกจากนี้แบรนด์ยังเน้นการตลาดแบบ Minimal Marketing ไม่มีโฆษณาหรูหรา แต่เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับสกินแคร์ผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้แบรนด์เป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพในราคาสมเหตุสมผลไปโดยปริยาย
บทสรุป โอกาสในตลาดความงามที่แบรนด์ควรคว้าในยุค 2025 :
แค่ขายของไม่พอ แต่แบรนด์ยุคใหม่ต้องเข้าใจและเป็น ‘ผู้ช่วย’ ในการเลือกซื้อ
จากข้อมูลคงพอทำให้เราเข้าใจแล้วว่า แค่ “ของดี” อาจไม่พอ ถ้าการตลาดไม่ตรงใจผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดความงามแข่งขันดุเดือด แบรนด์เครื่องสำอางไม่ได้แข่งกันแค่เรื่องคุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ยังต้องแข่งกันเรื่องการตลาด ที่ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละ Generations อีกด้วย
ที่สำคัญคือ พฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2025 ไม่ได้เปลี่ยนไปแค่เรื่อง “ช่องทางการซื้อ” แต่เปลี่ยนไปถึง “กระบวนการคิด” ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อเพราะถูกโฆษณาเกลี้ยกล่อมหรือชักจูง แต่พวกเขาใช้ ข้อมูล เทคโนโลยี และ AI เพื่อช่วยตัดสินใจ มากกว่านั้นผู้บริโภคยุคใหม่เลือกที่จะภักดีต่อ “คุณค่า” ของสินค้า มากกว่าตัวแบรนด์เพียงอย่างเดียว
ดังนั้น การเข้าใจว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับอะไร และใช้ข้อมูลแบบไหนในการตัดสินใจซื้อ จะช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารและทำตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่นเดียวกับ Cosmenet* เองที่มีการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น ไม่ใช่แค่เป็นแหล่งรวมข้อมูลความงาม แต่เป็น "ผู้ช่วยในการตัดสินใจ" ด้วย AI-Personalized Recommendations
อีกทั้งการมีระบบรีวิวจากผู้ใช้จริง ที่นำ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลรีวิว เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและสภาพผมของแต่ละคน ที่ช่วยให้การเลือกซื้อสกินแคร์และเมคอัพแม่นยำและตรงใจยิ่งขึ้น
และนี่คืออีกก้าวสำคัญของ Cosmenet* ในการเป็นแพลตฟอร์มความงามอัจฉริยะ (Smart Beauty Community) ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตัวเองได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม
..................
เพราะสุดท้ายแล้ว ธุรกิจที่ต้องการอยู่รอดในยุคนี้ ต้องเข้าใจ และปรับตัวให้ทัน
ไม่ใช่แค่ขายของให้ลูกค้า แต่ต้องเป็น “ผู้ช่วยในการตัดสินใจ” ของผู้บริโภคด้วยนั่นเอง...
..................
-----------------------
Cosmenet* Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ
-----------------------