กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันในโลกโซเชียล สำหรับการสุ่มตรวจครีมกันแดด 20 แบรนด์ของสภาผู้บริโภค ซึ่งทำให้รู้เลยว่ามีครีมกันแดดหลายแบรนด์ที่ค่า SPF ไม่ตรงปก แต่สิ่งที่หลายคนเกิดความสงสัยคือเขาใช้เกณฑ์อะไรในการทดสอบครีมกันแดด และวิธีทดสอบค่า SPF เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้ Cosmenet* จะพาทุกคนมาไขข้อสงสัย พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบ ค่า SPF ที่ถูกต้องและแม่นยำกันค่าา~
ค่า SPF กับ ค่า PA คืออะไร

- SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี (UVB) ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาผิวไหม้แดด (Sunburn) โดยตัวเลขด้านหลังของ SPF จะเป็นค่าที่บ่งบอกถึงจำนวนเท่าของการปกป้องผิว อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่ายิ่งค่า SPF สูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถปกป้องได้ยาวนานมากขึ้นเท่านั้น
- PA ย่อมาจาก Protection grade of UVA เป็นค่าที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีรังสียูวีเอ (UVA) ที่สามารถทะลุไปถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ได้ ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ขาดความยืดหยุ่น และเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนัง โดยค่า PA จะไม่มีตัวเลขต่อท้าย แต่จะใช้เครื่องหมายบวก (+) ในการแสดงจำนวนเท่าที่สามารถปกป้องผิวได้
UVB กับ UVA ต่างกันยังไง
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า UVB และ UVA ผ่านหูกันอยู่บ่อย ๆ แต่เชื่อว่ามีบางคนอาจยังแยกไม่ออกว่า UVB และ UVA แตกต่างกันอย่างไร เราจะมาอธิบายให้ฟังกันค่ะ

- รังสี UVA คือ รังสีที่มีระดับความยาวคลื่นความยาวสูงสุด โดยยาวประมาณ 320 – 400 นาโนเมตร สามารถทะลุไปถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวแก่ก่อนวัย เช่น ริ้วรอย ฝ้า กระ และจุดด่างดำ เป็นต้น
- รังสี UVB คือ รังสีที่มีระดับความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 290 – 320 นาโนเมตร สามารถทะลุผ่านผิวในปริมาณน้อย จึงไม่ได้ทำร้ายชั้นผิวหนังได้ลึกเหมือน UVA แต่อาจทำให้ผิวชั้นนอกเกิดอาการไหม้ รวมถึงเป็นต้นเหตุของปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
วิธีทดสอบค่า SPF และ PA มีกี่แบบ
หลายคนอาจสงสัยว่าค่า SPF และ PA ที่อยู่บนฉลากกันแดดสามารถวัดได้อย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าครีมกันแดดแต่ละตัวมีค่า SPF และ PA ตรงปก ไม่หลอกลวงผู้บริโภค ต้องบอกเลยว่าในปัจจุบันมีวิธีทดสอบที่ได้รับความนิยมอยู่ 2 รูปแบบ ดังนี้

- การทดสอบแบบ In Vitro : เป็นการทดสอบในห้องแลป โดยใช้บนแผ่นที่ใช้แทนผิวหนังมนุษย์และประเมินด้วยเครื่องมือเฉพาะ ข้อดีคือสามารถทดสอบได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายน้อย จึงเป็นวิธีทดสอบที่นิยมใช้ในการเช็คประสิทธิภาพกันแดดเบื้องต้น สำหรับข้อจำกัดคือถึงแม้แผ่น PMMA ที่ใช้ในการทดสอบนห้องแลปจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่เนื้อผลิตภัณฑ์บางรูปแบบมีความยากง่ายในการเกลี่ยแตกต่างจากการทาบนผิวของมนุษย์ ซึ่งอาจทำให้ผลการทดสอบเกิดกความคลาดเคลื่อนได้นั่นเองค่ะ
- การทดสอบแบบ In Vivo : สำหรับการทดสอบแบบ In Vivo เป็นการทดสอบกับสิ่งมีชีวิต เช่น กระต่าย หนู และคน โดยเริ่มจากการทาครีมกันแดดลงบนผิว รอให้ครีมกันแดดเซ็ตตัวประมาณ 15-30 นาที จากนั้นจึงฉายแสง UV ลงบนผิวหนังแล้วจึงนำผลการทดสอบไปคำนวณหาค่า SPF อีกครั้ง ข้อดีคือเป็นวิธีที่ค่อนข้างแม่นยำและน่าเชื่อถือ แต่มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันในเรื่องจริยธรรมที่ฉายรังสีบนผิวของมนุษย์ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังได้
นอกจากนี้การส่งครีมกันแดดตัวเดียวกันไปทดสอบแบบ In Vivo ในศูนย์การทดสอบที่ต่างกันก็อาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งความคาดเคลื่อนนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยเนื้อผลิตภัณฑ์ เชื้อชาติ และพันธุกรรม โดยคนแต่ละทวีปมีความสามารถในการทนต่อแสงแดดได้ไม่เท่ากัน จึงทำให้ผิวมีอาการแดงยากหรือง่ายต่างกัน ส่งผลให้การวัดระดับความแดงของผิวอาจคาดเคลื่อนได้
ค่าความสามารถในการป้องกันรังสียูวีเอ (UVAPF) เท่าไหร่ถึงมีคุณภาพสูง
UVA PF ย่อมาจาก UVA Protection Factor หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อ “ค่า PA” เป็นการวัดความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UVA โดยมีค่าเริ่มต้นตั้งแต่ PA+ ไปจนถึง PA++++ ซึ่งแสดงถึงระดับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสีรังสียูวีเอ (UVA) จากน้อยไปหามาก
ค่า PA เป็นระบบการวัดที่นิยมในเอเชีย โดยจะไม่มีตัวเลขต่อท้าย แต่จะใช้เครื่องหมายบวก (+) ในการแสดงจำนวนเท่าที่สามารถปกป้องผิวได้ และจำนวนเครื่องหมายบวกยิ่งมาก ก็จะแปลว่ามีการป้องกัน UVA ได้มากขึ้นตามไปด้วยนั้นเองค่ะ
ค่า PPD (Persistent Pigment Darkening) เป็นมาตรฐานที่ใช้ในยุโรปและอเมริกา คือค่าที่ใช้ในการวัดความสามารถของครีมกันแดดในการปกป้องผิวจากรังสี UVA
ในการเลือกครีมกันดดเราสามารถเลือกดูที่ค่า PA หรือ PPD ก็ได้ เพราะแตกต่างกันที่รูปแบบการแสดงผลเท่านั้นค่ะ แต่สิ่งสำคัญเลยคือการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับสภาพอากาศปัจจุบัน และอย่าลืมดูที่ค่า SPF เป็นหลักด้วยนะคะ เพื่อให้ครีมกันแดดป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB นั้นเองค่ะ

- PA+ = PPD 2-4 มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA เริ่มต้น เหมาะกับผู้ที่อยู่ภายในบ้าน หรืออาคาร ไม่ได้ออกไปออกไปเผชิญแสงแดดภายนอก
- PA++ = PPD 4-8 มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA ปานกลาง เหมาะกับผู้ที่ต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกแต่อยู่ในร่ม ไม่ได้ไปเผชิญแสงแดดโดยตรง
- PA+++ = PPD 8-16 มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA สูง เหมาะกับผู้ที่ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก โดยเผชิญแสงแดดจัดในระยะเวลาไม่นาน หรือผู้ที่นั่งทำงานบริเวณริมกระจกที่มีแสงแดดส่องผ่าน
- PA++++ = PPD >16 มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA สูงสุด เหมาะกับผู้ที่ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง จำเป็นต้องเผชิญแสงแดดจัดติดต่อกันนานหลายชั่วโมง
หวังว่าความรู้เหล่านี้จะเป็นประโยนช์ต่อผู้บริโภคได้ไม่มากก็น้อยนะคะ งานนี้ใครไม่อยากโดนหลอกต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนเลือกซื้อครีมกันแดด โดยสามารถนำความรู้เกี่ยวกับการทดสอบค่า SPF และ PA ขั้นพื้นฐานเหล่านี้ไปใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดกันได้เลยน้าา~
-----------------------
Cosmenet* Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ
-----------------------
อ่านคอนเทนต์การบำรุงผิวอื่น ๆ เพิ่มเติม