เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “น้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติ” มีประโยชน์มากมายกว่าที่คิด โดยเฉพาะประโยชน์ด้านความงาม ไม่ว่าจะเป็นการใช้น้ำมันทาหน้า, ใช้น้ำมันบำรุงผิว รวมถึงการใช้น้ำมันหมักผม เรียกได้ว่าเป็นบิวตี้ไอเทมสารพัดประโยชน์เลยก็ว่าได้ โดยวันนี้ *Cosmenet จึงถือโอกาสพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 9 น้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติ พร้อมแนะนำประโยชน์ของน้ำมันแต่ละชนิดกันค่าา~
น้ำมันธรรมชาติ คือ
น้ำมันธรรมชาติ คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดจากพืช โดยมีคุณสมบัติแตกต่างจากน้ำมันที่มาจากสัตว์ ตรงที่น้ำมันจากพืชส่วนใหญ่จะอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าน้ำมันที่มาจากสัตว์ แถมยังมีคุณประโยชน์ในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร บำรุงผิวหน้า ผิวกาย และบำรุงผม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำมันจากธรรมชาติได้รับความนิยมเรื่อยมานั่นเองค่ะ
9 น้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติ
1. น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)
เริ่มต้นด้วยน้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติที่ฮอตฮิตมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ “น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)” ที่อุดมไปด้วยวิตามินอี มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น มาพร้อมกรดไขมันที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นด้วยน้าา
- ข้อดี : ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดการอักเสบของผิว ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้หมักผมเพื่อให้นุ่มลื่น เงามงาม และยังใช้รับประทานเพื่อลดน้ำหนักได้อีกด้วย
- ข้อเสีย : น้ำมันมะพร้าวมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงมาก หากรับประทานในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงของโรคอันตรายได้
2. ทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)
น้ำมันทาหน้าจากธรรมชาติตัวต่อมามีชื่อว่า “ทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)” เป็นน้ำมันที่ได้จากต้นทีทรี มีถิ่นกำเนิดในออสเตรเลีย โดยมีคุณสมบัติเด่นเรื่องการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบของผิว และช่วยคุมความมัน ลดการอุดตันของรูขุมขน แถมยังช่วยลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์รักษาสิวนั่นเองค่า
- ข้อดี : ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ควบคุมความมัน และลดรอยสิว
- ข้อเสีย : การใช้ทีทรีออยล์เข้มข้นทาลงบนผิวโดยตรงอาจทำเกิดการระคายเคืองผิว หรือรู้สึกอาการแสบร้อน และผิวบวมแดงได้
3. โจโจ้บาออยล์ (Jojoba Oil)
โจโจ้บาออยล์ (Jojoba Oil) เป็นน้ำมันที่สกัดจากเมล็ดของโจโจ้บา อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ มีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นแก้ผิวหน้า ผิวกาย รวมถึงเส้นผม โดยสามารถสกัดออกมาเป็นไขหรือแว็กซ์ได้ด้วย จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และโลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น
- ข้อดี : ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก้ผิวหน้า ผิวกาย รวมถึงเส้นผม
- ข้อเสีย : ไม่ควรการทาโจโจ้บาออยล์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจส่งผลให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้
4. น้ำมันโรสฮิป (Rosehip Oil)
เชื่อว่าสาว ๆ สายสกินแคร์คงจะเคยคุ้นหูกันมาบ้างแล้ว กับ “น้ำมันโรสฮิป (Rosehip Oil)” น้ำมันบำรุงผิวที่สกัดจากต้นกุหลาบป่า อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุ มีส่วนช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว พร้อมบำรุงผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส ลดริ้วรอย และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
- ข้อดี : ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว บำรุงผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส ลดริ้วรอย และช่วยต้านการอักเสบ
- ข้อเสีย : คนที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับเลือดควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันโรสฮิป เพราะมีส่วนประกอบของสารเคมีที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด
5. น้ำมันมะกอก (Olive Oil)
ถือเป็นน้ำมันจากธรรมชาติอีกหนึ่งชนิดที่มีคุณประโยชน์รอบด้าน สำหรับ “น้ำมันมะกอก (Olive Oil)” น้ำมันธรรมชาติที่สกัดจากผลของต้นมะกอก นอกจากจะนิยมนำมาประกอบอาหารแล้ว น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์ด้านความงามด้วย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ลดปัญหาริ้วรอย และรอยแผลเป็น ใช้หมักผมให้นุ่มลื่น ดูสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง และช่วยในการบำรุงส้นเท้าแตกได้อีกด้วย
- ข้อดี : ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ใช้หมักผมให้นุ่มลื่น ช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง และช่วยในการบำรุงส้นเท้าแตก
- ข้อเสีย : การใช้น้ำมันมะกอกที่บริเวณผิวหนัง อาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือผิวหนังอักเสบได้ค่า
6. อาร์แกนออยล์ (Argan Oil)
สำหรับ อาร์แกนออยล์ (Argan Oil) เป็นน้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติที่สกัดจากเมล็ดของต้นอาร์แกน อุดมไปด้วยวิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดไขมันจำเป็น จุดเด่นของน้ำมันชนิดนี้คือ มีเนื้อสัมผัสที่บางเบา ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ และอ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบของผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิว และช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น
- ข้อดี : ช่วยต้านการอักเสบของผิว เติมความชุ่มชื้นให้ผิว และช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น
- ข้อเสีย : เมล็ดอาร์แกนมีเปลือกแข็ง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในพืชตระกูลถั่ว แต่ก็อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ในผู้ที่แพ้ถั่วบางชนิดได้ค่ะ เพราะฉะนั้นจึงควรทดสอบอาการแพ้บริเวณท้องแขนก่อนใช้
7. น้ำมันงา (Sesame Oil)
น้ำมันงา (Sesame Oil) เป็นน้ำมันจากธรรมชาติที่สกัดจากเมล็ดงา นอกจากจะใช้รับประทานได้แล้ว ยังใช้เป็นน้ำมันทาหน้าและบำรุงผิวกายให้ชุ่มชื้น หรือใครผมแห้งเสีย แตกปลาย ก็สามารถใช้น้ำมันงาหมักผมได้เช่นเดียวกันค่า เค้าจะช่วยลดปัญหาผมแตกปลายและปรับสภาพผมแห้งเสียให้เงางามขึ้น
- ข้อดี : ทาหน้าและบำรุงผิวกายให้ชุ่มชื้น ใช้หมักผมเพื่อลดปัญหาผมแตกปลายและปรับสภาพผมแห้งเสียให้เงางามขึ้น
- ข้อเสีย : ถึงแม้จะเป็นน้ำมันจากธรรมชาติก็อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้ตามมาได้ แนะนำให้ทดสอบอาการแพ้ทุกครั้งก่อนใช้
8. น้ำมันละหุ่ง (Castor Oil)
มาต่อกันที่ “น้ำมันละหุ่ง (Castor Oil)” เป็นน้ำมันจากธรรมชาติที่สกัดจากเมล็ดละหุ่ง มีลักษณะเป็นของเหลวไม่มีสี หรือสีเหลืองอ่อน มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัว โดยอุดมไปด้วยกรดชนิดต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยสมานแผล ต้านการอักเสบ ชะลอการเกิดริ้วรอย และลดการขาดร่วงของเส้นผม
- ข้อดี : ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยสมานแผล ต้านการอักเสบ ชะลอการเกิดริ้วรอย และลดการขาดร่วงของเส้นผม
- ข้อเสีย : คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำมันละหุ่ง เพราะอาจเป็นปัจจัยที่เร่งให้คลอดบุตรเร็วกว่ากำหนด
9. น้ำมันดอกทานตะวัน (Sunflower Seed Oil)
น้ำมันดอกทานตะวัน (Sunflower Seed Oil) เป็นน้ำมันไม่ระเหยที่สกัดจากเมล็ดทานตะวัน มีส่วนประกอบของโอเมก้า 6, กรดไลโนเลอิก และวิตามิน E ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ และช่วยกำจัดแบคทีเรียต่าง ๆ บนผิวหนัง เนื้อสัมผัสค่อนข้างเบาบาง จึงไม่ทำให้เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน
- ข้อดี : ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ และช่วยกำจัดแบคทีเรียต่าง ๆ บนผิวหนัง
- ข้อเสีย : ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้พืช หรือเกสรดอกไม้ในวงศ์ตระกูลดอกทานตะวัน
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 9 น้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติที่เรารวบรวมมาฝากกันในวันนี้ เชื่อว่านอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังช่วยให้สาว ๆ หลายคนเลือกใช้น้ำมันทาหน้า หรือน้ำมันบำรุงผิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วยน้าา ยังไงก็อย่าลืมทดสอบการแพ้หรือการระคายเคืองที่ผิวกายก่อนมาใช้บนผิวหน้ากันด้วยนะคะ