วิกันดา
itosky
(31 รีวิว)
Even Better Clinical Radical Dark Spot Corrector + Interrupter
CLINIQUE
Even Better Clinical Radical Dark Spot Corrector + Interrupter
ต้องขอบคุณ cosmenet และ Clinique มาก ๆ เลยนะคะสำหรับตัวอย่างทดลองของ Clinique Even Better Clinical Radical Dark Spot Corrector + Interrupter (ชื่อยาวมาก!) เพราะบอกตรง ๆ ว่าเราอยู่ในช่วงอายุที่ไม่ได้สนใจไม่ได้เสาะแสวงหาเรื่องไวท์เทนนิ่งอะไรมากมายเท่าไหร่แล้วค่ะ จุดนี้จะเป็นห่วงเรื่องริ้วรอยมากกว่าจนเกือบจะลืมดูแลเรื่องความกระจ่างใสและจุดด่างดำไปเลย  ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าผิวหน้าเราไม่เนียนหรือมีรอยด่างดำก็ทำให้ดูหมองและไม่อ่อนเยาว์เท่าที่ควรจะเป็นเหมือนกันนะ อีกอย่างก็กลัวแพ้ด้วย แต่พอเป็นไวท์เทนนิ่งของ Clinique เราเลยวางใจ เพราะเท่าที่ใช้ Clinique มาได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการตลอดสภาพผิวในช่วงนี้ : พักนี้ไม่มีรอยสิวอะไรบนผิวหน้ามากมาย ยกเว้นรอยสิวฮอร์โมนบริเวณคางและกรอบหน้าอีกตามเคย เศร้าใจ ก็ต้องรักษาวนกันไปทุกเดือนเนอะ แต่ที่เห็นชัดคือกระบริเวณแก้มที่เป็นมานานแล้ว เพราะสมัยเด็กไม่เคยทากันแดดเลย เง้อ ถ้าย้อนกลับไปได้จะไม่ละเลยแบบนี้แน่นอน เมื่อก่อนไม่รู้จริง ๆ พอมาเริ่มทาตอนอายุยี่สิบกว่า ๆ ก็ไม่ทันแล้วค่ะ เป็นกระถาวรไปแล้ว แม้จะเปลี่ยนความคิดใหม่ว่ามีกระก็น่ารักดีน้า แต่ก็แอบเมียงมองหาตัวช่วยอยู่เหมือนกัน เราเลยแอบมีความหวังกับน้องคนนี้อยู่นิด ๆ และเนื่องจากเอาข้อมือไปขูดกับขอบโต๊ะมา มีแผลเป็นเกือบสองเดือนแล้วยังไม่จางลงเลย จึงอยากจะขอทดสอบกับรอยนี้ด้วย เอาล่ะ งั้นมาลองดูกันหน่อยซิว่าน้องจะเป็นฮีโร่ให้เราได้หรือเปล่ากลิ่นและเนื้อสัมผัส : ชอบที่สุดตรงที่ไม่มีกลิ่นกวนใจนี่แหละค่ะ ส่วนเนื้อสัมผัสเป็นสีขาวขุ่น บางเบา เกลี่ยง่าย ประมาณสองปั๊มก็เกลี่ยได้ครึ่งหน้าแล้วค่ะ ทาแป๊บเดียวซึมแทบจะทันที ไม่ทิ้งความเหนอะหนะเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว คนหน้าแห้งอาจจะไม่ชอบเพราะทำให้หน้าแมทแบบแมทจริง ๆ แมทสุด ๆ แต่เราไม่มีปัญหาและยังชอบด้วยซ้ำ เพราะสบายผิวหน้าดี และยังไงก็ต้องตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์อยู่แล้วผลลัพธ์ :รอยสิวบริเวณคางและกราม - จะเห็นได้ว่ารอยที่ไล่ขึ้นไปทางบริเวณกรามจางลงไปมากจนถ้าไม่สังเกตก็เกือบไม่เห็นแล้ว ส่วนรอยที่ใกล้บริเวณปากจางลงแต่ยังมองเห็นอยู่ นี่ก็งงว่าทำไมไม่เท่ากัน คิดไปคิดมาสงสัยเป็นเพราะเวลากินอะไรเสร็จแล้วไปล้างปากหรือแปรงฟันไม่ได้ระวังให้ดีพอ อาจมีบางส่วนโดนน้ำชะล้างไป เป็นข้อคิดให้ทุกคน จะได้ไม่เปลืองครีมฟรีนะคะ ฮือ ๆ แต่อยากบอกว่าปกติถ้าเราไม่ใช้ไวท์เทนนิ่งประเภทลดรอยสิวหรือจุดด่างดำเลยรอยจะหายช้ามาก เนื่องด้วยอายุเกิน 35 แล้ว รอยไม่หายได้ด้วยตัวเองเหมือนเด็ก ๆ แน่นอน บางทีนานถึงสองสามเดือนเลยก็มี (แต่สุดท้ายก็หายได้แม้จะใช้เวลานาน ซึ่งน่าจะเป็นผลพลอยได้จากสกินแคร์อื่น ๆ ที่ไม่ได้เน้นเรื่องไวท์เทนนิ่งแต่ช่วยให้ผิวแข็งแรงจนฟื้นฟูตัวเอง) แล้วพักหลังมานี้เราไม่ค่อยใช้พวกลดรอยดำด้วย ชอบปล่อยให้ค่อย ๆ จางไปเอง ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ถือคติสวยตามธรรมชาติค่ะ ฮ่า ๆ (แล้วค่อยใช้คอนซีลเลอร์เอา อ้าว)กระบริเวณหน้าแก้ม – ยังไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นะคะ ซึ่งอันนี้เข้าใจได้ เพราะถ้าแค่ 14 วันแล้วกระที่เป็นมาครึ่งชีวิตจางได้ก่อนอื่นคงต้องตกใจก่อน!ความกระจ่างใส -  โดยรวมหน้าดูขาวใสขึ้นนิดนึง อาจเป็นเพราะรอยสิวจางลง และไม่มีสิวใหม่เพิ่มด้วยค่ะความอ่อนโยน : ไม่ก่อให้เกิดสิวและไม่ทำให้สิวที่มีอยู่อักเสบ แม้จะทดลองใช้ในช่วงเซนซิทีฟของเดือน >< ซึ่งเราพอใจมากค่ะ เพราะปกติช่วงเวลานี้ผิวเราจะแปรปรวนสุด ๆ เราจึงจะไม่เสี่ยงใช้อะไรที่ไม่จำเป็นเลย เน้นประคองสิวก่อน เรื่องความอ่อนโยนนี้เราให้น้องผ่านฉลุยเลยค่ะรอยแผลเป็นตรงข้อมือ - มัน จาง ลง! ค่ะทุกคนนน ตื่นเต้นมาก เพราะปกติแผลเป็นตามตัวเราหายช้าสุด ๆ บางรอยนี่เป็นปีถึงจะหาย แต่นี่จะเห็นได้ว่ารอยสีน้ำตาลเข้ม ๆ ตรงกลางรอยแผลเป็นหดเล็กลง และบริเวณรอบนอกจางลงจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ แล้วค่ะ เหยยย ปรบมือให้เลยซื้อต่อมั้ย? : Yes! ดีใจที่เจอสกินแคร์ไว้สำหรับรักษารอยสิว รอยด่างดำ ในยามที่ผิวอ่อนแอได้สักที เพราะเราสามารถใช้รักษารอยเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้บ้างพักบ้างจนไม่แน่ใจในผลลัพธ์ และในเมื่อรอยสิวจางแล้วเราก็อยากลองให้เวลากับกระของเราต่อค่ะ จะเอาไว้ทาแผลเป็นตามตัวด้วย เพราะเป็นคนซุ่มซ่ามมีแผลตลอดเวลา ที่สำคัญคือขวดจริงโฉมใหม่เป็นสีชมพูสวยน่าใช้โดนใจไปอีก สรุปให้น้องไปต่อค่า
more
Fresh Pressed™ Repair Clinical MD Multi-Dimensional Age Transformer Duo
CLINIQUE
Fresh Pressed™ Repair Clinical MD Multi-Dimensional Age Transformer Duo
.. และแล้ว Clinique ก็เข้ามาช่วยกอบกู้ผิวหน้าของเราอีกครั้ง!  ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือเพราะว่าเวลาที่ผิวเราพังแล้วเราจะนึกถึง Clinique ทุกทีก็ไม่รู้นะคะ แหะแหะ  ช่วงก่อนหน้านี้ได้ Clinique ID มาช่วยในช่วงที่เราแทบไม่บำรุงเลย  เพราะเหนื่อยมาก ๆ จนไม่มีอารมณ์จะทาอะไร  แต่พอได้เจอน้องปุ๊บหน้าก็ฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็ว  เริ่ดมากจริง ๆ ไอเท็มนี้เราคอนเฟิร์ม  ตอนนี้มีสองสีแล้วด้วยค่า (และคาดว่าจะตามมาครบทุกสีแน่นอน)  ส่วนช่วงนี้หน้าเราไม่ได้ขาดการบำรุงอะไร  แต่ปั่นงานหนักจนกินหนักตามไปด้วย  โอ๊ย  ผลคือหน้าบวมมากค่า T.T  เพราะเราเป็นคนกินรสจัด  กินดึกอีกด้วยเพราะถนัดทำงานตอนกลางคืนตื่นเย็นนอนเช้า  เอ้า เรียงลำดับถูกมั้ยเนี่ย ><  ยิ่งถ้าใครอายุ 30+ ต้องเข้าใจแน่นอนว่าปกติผิวตรงบริเวณแก้มจะบวมและเหนียงจะหย่อนคล้อยง่ายมากหากไม่เลือกสรรให้ดี ๆ ทั้งเรื่องอาหารและสกินแคร์  และหากใครยังอายุไม่ถึง 30 ก็อาจจะไม่เข้าใจว่าหน้าตึงกระชับมันดีกว่าหน้าขาวกระจ่างใสยังไง ..  ใช่ค่ะ  พี่ก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้วค่า (ปาดน้ำตา)  พอ Clinique มีสกินแคร์ตัวใหม่ออกมาชื่อ  Clinique Fresh Pressed Repair Clinical MD  เราก็ตื่นเต้นมากเช่นเคยตามประสาสาวเลขสามผู้สนุกและมีความสุขกับการทาสกินแคร์มากกว่าการเข้าคลินิกความงามใด ๆ คุณน้องรุ่นนี้ตอบโจทย์เรามาก ๆ เพราะออกมาทีเดียวสองสูตร  สูตรแรกคือ Revolumize (กระปุกสีม่วงเข้ม) ที่ช่วยเรื่องการเติมเต็มให้กับผิว  และอีกสูตรคือ Resculpt (กระปุกสีม่วงอ่อน) ที่ช่วยยกกระชับใบหน้า  ซึ่งคุณน้องเคลมแรงมากว่าจะออกฤทธิ์คล้ายกับการทำโบท็อกซ์! คุณพี่เลยหูผึ่ง  ตาเบิกโพลง  และกระหยิ่มทันที  นั่นไง!  นี่มันครีมสำหรับชั้นหนิ!  ว่าแล้วก็พุ่งไปเคาน์เตอร์เช่นเคยค่ะ  ตอนแรกไปรับมาแบบซอง  ก็เป็นท้อเล็กน้อย 55 แบบว่ามันจะพอให้เห็นผลรึ? นี่ก็ไม่อยากตัดสินใครง่าย ๆ เลยเก็บไว้ก่อน  เผื่อมีโปรอะไรดี ๆ ค่อยซื้อมาลองแบบนาน ๆ ให้เห็นผลจริง  แต่ทาง cosmenet ใจดีกับสาวรุ่นเฟี้ยวอย่างเรา  แจกแซมเปิ้ลแบบหลอดละ 7ml สำหรับทั้งสองสูตร  เราเลยได้โอกาสลองทันที  ไหน ๆ หน้าก็บวมและฮอยขนาดนี้  กำลังกายก็ไม่ได้ออกมานานแล้ว  หยุดกินก็ไม่ได้อีก  หมดตัวช่วยทุกอย่าง  อย่ารีรอ  ไปค่ะ!เนื้อครีมของทั้งสองสูตรนี้มีสีต่างกัน  หากคุณซื้อแบบ DUO ที่มีมาพร้อมกันทั้งสองสูตรก็สังเกตความแตกต่างได้ไม่ยากค่ะ  นอกจากนี้เนื้อสัมผัสยังต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย  แต่ถ้าใครชอบสูตรไหนเป็นพิเศษก็สามารถซื้อสูตรนั้นแยกได้เลย  ส่วนเราขอเกริ่นไว้ก่อนตรงนี้เลยว่าพอได้ลองใช้แล้ว  วันต่อมาเราพุ่งไปเคาน์เตอร์ทันทีเพื่อจะซื้อสูตร Resculpt ค่าา  (คืออยู่ ๆ ก็มีโนทิฯ โปรโมชั่นเด้งขึ้นมาว่าแต้ม The One กับบัตรเครดิตลด 25%! อีกต่างหาก  อะไรมันจะลงตัวขนาดนี้!  แต่สุดท้ายดันไปไม่ทันห้างปิด  ไว้เจอกันใหม่ช่องทางอื่นนะคะคุณน้อง  พี่สัญญา  ก็บอกแล้วว่านอนเช้า  ตื่นเย็นเนอะ T.T  เสียดายโปรมาก ฮืออ)1. ขอเริ่มที่สูตร Revolumize ก่อน  สูตรนี้เคลมว่าช่วยเติมความชุ่มชื้น  เพิ่มวอลุ่มให้ผิวฟู  โดยเฉพาะส่วนที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกอย่างร่องแก้มหรือหน้าผาก  เนื้อครีมออกม่วงพาสเทสสีสวยเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์  กลิ่น .. ทำไมเหมือนโกโก้ก็ไม่รู้ สงสัยจะหิว ฮือ ๆ  ส่วนเนื้อสัมผัสจะหนืด ๆ นิดนึง  รู้สึกว่าทายากไปนิดดดด แต่เราแก้ปัญหาด้วยการวอร์มครีมที่ฝ่ามือแล้วประกบลงบนหน้า  แล้วเอาอุ้งมือกดและปาด ๆ ขึ้นไปด้านบน  ซึ่งเป็นวิธีที่เราใช้ตามปกติอยู่แล้ว  โดยเราจะเน้นช่วงหน้าผาก ร่องแก้ม หน้าแก้ม และเหนือแก้มขึ้นไปทางใต้ตา  เพราะบริเวณนั้นก็มีร่องลึกตามสไตล์คนนอนน้อย  ไม่ว่าอายครีมใด ๆ ก็คงช่วยไม่ได้ถ้านอนวันละ 3 ชั่วโมง T.T  ได้แต่ประคองไป  แต่เราก็มีความหวังกับน้องคนนี้นะคะ  ลองทาไปหนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ รู้สึกว่าบริเวณที่ทามันดูเต่ง ๆ ฟู ๆ  อิ่มน้ำขึ้นจริง ๆ สังเกตดี ๆ ร่องแก้มกับร่องลึกใต้ตาตื้นเล็กน้อย เราใช้แทนมอยส์เจอไรเซอร์ไปเลย  เพราะรู้สึกว่าเนื้อหนักแล้ว  ซึ่งเพียงพอสำหรับการนอนห้องแอร์  ตื่นมาหน้าไม่มันเยิ้ม  (ชอบ Clinique ก็ตรงนี้!) และการใช้สูตร Resculpt ทาบริเวณร่องลึกใต้ตาไม่ได้ทำให้เราแสบตาแต่อย่างใด  แต่ยังไงผิวหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ต้องลองดูด้วยตัวเองนะคะ2.  สูตร Resculpt! (จะตกใจทำไม ><!)  อ่า .. ก็คือตื่นเต้นเพราะอย่างที่บอกว่าประทับใจมากจนต้องพุ่งตัว 55  สูตรนี้เป็นเนื้อเจลสีขาว  บางเบามากกก  นี่ชอบมากกกก  เดี๋ยวนี้อินกับสกินแคร์ที่เป็นเนื้อเจล  น้องคนนี้เลยได้คะแนนไปเป็นพิเศษ  ยิ่งไม่มีกลิ่นและซึมเร็วนี่ได้ใจไปเลยค่า  เราจะทาน้องคนนี้บริเวณกรอบหน้าและตรงเหนียงใต้คาง  โดยใช้วิธีเดิมปาดให้ทั่วก่อนแล้วกด ๆๆๆ ยก ๆ ขึ้นไปค่ะ และถ้าครีมเหลือก็จะเอาลงมาทาคอและหน้าอกด้วย  (แต่มันก็ไม่ค่อยเหลือเนอะ  ครีมก็ซึมไว  ซึมเก่งงง)  ส่วนเรื่องผลลัพธ์ทุกคนคงสนใจว่าช่วยยกหน้าได้จริงมั้ย  สำหรับเรานะคะ  คือหน้าเรากระชับขึ้นจริง ๆ ตั้งแต่การใช้ครั้งแรก  แต่เราตั้งใจใช้มากนะคะ  เพราะตอนทาเราจะกด ๆๆๆ ครีมให้เข้าหน้า  และเอาฝ่ามือพยายามยกผิวเราขึ้นไป  ที่ทำแบบนี้เพราะเราเคยไปเวิร์คชอปที่นึงซึ่งเค้าสอนการนวดยกกระชับใบหน้า  และผู้เชี่ยวชาญเค้าใช้วิธีนี้แล้วมันเห็นผลทันที  ไม่น่าเชื่อเลย  เค้าเอากระจกมาให้ดูข้างที่เค้าทำให้เราเทียบกับข้างที่ไม่ได้ทำ  คือข้างที่ทำมันยกขึ้นไปจริง ๆ ค่า  โห  เราก็อะเมซิ่งในใจมาก  คิดว่าจะเอากลับมาทำกับน้องครีมต่าง ๆ ที่บ้านจากนี้และตลอดไปแน่นอน 55 คือตอนนั้นเราคิดว่า  เฮ้ย  ครีมอะไรก็น่าจะทำได้รึเปล่า  เราอยากทดลองด้วยตัวเองก่อน (คือครีมที่บ้านเยอะมากจริง ๆ  มันต้องมีน้องสักคนที่ช่วยเราได้สิน่า) ซึ่งเท่าที่ลองมายังไม่มีครีมไหนที่ทำได้แบบวันนั้น (แต่เราก็ยังลองไม่หมดนะคะ พอดีมาลัดคิวให้น้อง Resculpt ก่อน ><)  แต่ .. คุณน้อง Resculpt คนนี้ทำได้อ่ะเฮ้ยยย  ดีใจมากมายยย  เราคิดว่าเราถูกกับครีมตัวนี้และวิธีการทาแบบนี้  เราจึงไม่ลังเลที่จะใช้น้องต่อไปอย่างแน่นอน  ส่วนบางวันเราลองทาสไตล์ขี้เกียจแบบปาด ๆ กด ๆ ธรรมดา  ก็ยังพบว่าตื่นมาแล้วหน้าบวมน้อยลงเหมือนว่าตัวครีมไปช่วยสลายส่วนที่มันหย่อน ๆ ตรงบริเวณแก้มส่วนที่เป่งที่สุดของเราออกไปค่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง 55 ถ้าใครประสบปัญหาหน้าบวมง่ายอย่างเราคงจะเข้าใจนะคะ  เอาเป็นว่าซื้อต่อค่าสำหรับสูตรนี้!ขอสรุปเลยนะคะ  เพราะเขียนมายาวมากทีเดียว  T.T  เราจะบรรจุน้อง Resculpt ไว้ใน Skincare Routine ของเรา  โดยเฉพาะช่วงพักผ่อนไม่เพียงพอแบบนี้  และถ้าช่วงไหนเราค่อนข้าง healthy ชีวิตดี  และหน้าไม่ได้เหนื่อยมากก็อาจจะพักการใช้ชั่วคราวค่ะ  แต่ปกติเราก็แทบจะไม่ค่อยมีช่วง healthy เท่าไหร่ 55  และนี่ก็คือเหตุผลที่เราต้องทุ่มเทให้กับสกินแคร์ไง ><  ส่วนน้อง Revolumize เราก็ประทับใจในระดับนึง  น้องทำหน้าที่ได้ดีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจะซื้ออย่างไม่ลังเลเมื่อครีมหมด  (แต่ไม่รู้ว่านั่นคือเมื่อไหร่ และยังตะหงิดกับการทาสกินแคร์กลิ่นโกโก้ มันหิวนะ T.T)  ดังนั้น  ต้องขอประกาศตรงนี้เลยว่าน้อง Resculpt ผู้ฝ่าด่านแซงคิวทุกคนขึ้นมาได้ชนะเลิศไปเลยยย  ปรบมือให้น้องค่า !!  ก่อนไปขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกอย่างว่าเรายังมีสิวฮอร์โมนขึ้นตามกรอบหน้าบ้าง  และทั้งสองสูตรนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำให้สิวประทุเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด  และนี่เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้เรารัก Clinique เพราะเราไม่ต้องกังวลเลยว่าเมื่อทดลองใช้อะไรใหม่ ๆ จาก Clinique แล้วจะแพ้เพิ่มมากขึ้นมั้ย  ทาแล้วไม่มีเครียดล่วงหน้าค่ะ 55  เยิ้ฟยูนะ~หมายเหตุ : ขออภัยเรื่องสภาพแสงในรูปนะคะ ควบคุมได้ยากจริง ๆ สีผิวไม่ได้เปลี่ยนมากนะคะ มีกระจ่างขึ้นบ้างนิดหน่อยค่า
more
Anthelios Uvmune 400 Invisible Fluid SPF50+
La Roche Posay
Anthelios Uvmune 400 Invisible Fluid SPF50+
แพ็คเกจจิ้ง : เป็นขวดพลาสติกแข็งแรง ดีไซน์เรียบแต่ดูสวยหรู ทรงสี่เหลี่ยมแบน ๆ เราชอบมากค่า พกพาใส่กระเป๋าก็ง่ายมาก ไม่กินพื้นที่ในกระเป๋า และฝาปิดสนิทดี แต่ ๆๆๆ !! มันอาจจะไหลเยิ้มเวลาเปิดฝาออก ต้องรีบเอานิ้วปาดเนื้อผลิตภัณฑ์ ตรงนี้รู้สึกว่าควบคุมยากไปหน่อยค่ะวิธีใช้ : อย่าลืมเขย่าก่อนใช้นะคะทุกคนเนื้อสัมผัส : เนื้อฟลูอิดสีขาว ไหลง่ายมาก เกลี่ยบนผิวหน้าง่ายและซึมเร็วดีมากค่ะ แต่จะทิ้งความมันวาวไว้เล็กน้อย ถ้าใครหน้ามันมากอาจจะไม่ต้องลงสกินแคร์เยอะ กลิ่นออกแนวกันแดดทั่วไป แต่ไม่แรงไม่ฉุนค่ะความประทับใจ : เราชอบตรงที่เนื้อกันแดดทาง่ายและเซ็ตตัวเร็ว ไม่รบกวนเมคอัพเลย และสิ่งที่สังเกตได้ชัดคือ ไม่อุดตัน !! อันนี้ดีมากเลยค่า ปกติเวลาล้างเมคอัพจะมีสิวอุดตันบ้าง ต้องใช้ BHA ทาละลายสิวไปสักพักถึงจะหลุด แต่กันแดดรุ่นนี้ของ La Roche Posay ไม่ก่อให้เกิดสิว และยังกันน้ำ ไม่เป็นคราบ โอย ก็กันแดดคุณสมบัติแบบนี้ไม่ใช่หรอที่ใคร ๆ ต้องการ ตอบโจทย์มาก ๆ ค่ะ ถ้าใช้กันแดดในกรุหมดทุกอันแล้ว จะซื้อรุ่นนี้ใช้ต่อแน่นอนค่า
more
Facial Cleanser
St.Ives
Facial Cleanser
ได้รับสูตร SMOOTH & GLOWING APRICOT มาค่ะ เคยใช้ตัวสครับกลิ่นเดียวกันนี้แล้วชอบมาก ลองใช้โฟมดูแล้วก็ชอบเหมือนกันเลยค่าแพ็คเกจจิ้ง : ดีไซน์สวย ดูเป็นทั้งแนวธรรมชาติและมีสีสันสวยงามน่าใช้ถูกใจวัยรุ่นในเวลาเดียวกัน หลอดบีบเป็นแบบทั่วไป บีบใช้ง่าย แต่ฝาปิดทำให้รู้สึกเหมือนปิดไม่สนิทตลอดเวลา ทั้งที่จริง ๆ สนิทแล้วเนอะ ><กลิ่นและเนื้อสัมผัส : กลิ่นหอมมากค่าาาา เหมือนปลูกสวนแอพริค็อตไว้ในห้องน้ำ ส่วนเนื้อสัมผัสเมื่อบีบออกมาจะเป็นเนื้อเหลว ๆ ไหลได้ง่าย คล้าย ๆ พวกแชมพูหรือสบู่เหลว ไม่คงตัวเป็นก้อนแบบเนื้อโฟมทั่วไปค่ะ รู้สึกว่าต้องผสมน้ำเยอะหน่อยถึงจะขึ้นฟอง แต่พอขึ้นแล้วฟูมาก ฟองก็นุ่มนวลมาก ยิ่งตีฟองยิ่งฟูเหมือนใช้ตาข่ายตีฟองเลยผลการใช้ : พอล้างออกแล้วหน้านุ่มมาก สะอาดแต่ไม่แห้งตึง เราเห็นเนื้อสัมผัสเป็นแบบเกลี่ยได้ง่ายเลยลองใช้เป็น wash-off mask ดู โดยเราจะผสมน้ำแค่นิดเดียวไม่ถึงกับให้เป็นฟอง แล้วมาส์กทิ้งไว้บนหน้าประมาณ 2-3 นาที ระหว่างนั้นหน้าไม่มีอาการแห้ง แพ้ หรือคัน และกลิ่นหอมผ่อนคลายดี เมื่อล้างออกแล้วหน้ายิ่งนุ่มสุด ๆ ได้ทั้งล้างหน้าและมาส์กหน้าไปด้วย คุ้มมมม ถูกใจเรามาก ใช้ในวันที่ขี้เกียจ ๆ แต่อยากได้ฟีลฉันก็เป็นคนขยันมาส์กหน้านะอะไรงี้ จบเลยสรุป : อยากลองใช้สีอื่นด้วยเลยค่า~
more
Age Miracle Ultimate Youth Serum
POND'S
Age Miracle Ultimate Youth Serum
ตื่นเต้นมากกก ได้กลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ของ POND's อีกครั้ง เพราะตอนเด็ก ๆ แอบจิ๊กของแม่ใช้ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่ามันไม่เหมาะกับเด็กเล้ยย แหะแหะ ไหนมาลองดูซิว่าใช้ตอนแก่แล้วจะเป็นยังไง เฮ้!แพ็คเกจจิ้ง : สวยดีงามมาก เป็นขวดแก้วมีดรอปเปอร์ไฮโซ สีแดงดูหรูหราไปอีก ให้ความรู้สึกไฮเอนด์พอสมควรทีเดียว โดยส่วนตัวเราชอบขวดหนัก ๆ แบบนี้แหละ แต่งงนิดหน่อยว่าเวลาบีบเอสเซนส์ขึ้นมาแล้วมันขึ้นมาแค่นิดเดียว บีบแล้วบีบเล่าก็ไม่ขึ้นมาเพิ่มเลย ไม่แน่ใจว่าเค้าคำนวนมาแล้วว่าให้ใช้เท่านี้หรือผิดพลาดที่ขวดเราหรือยังไงกันแน่ แต่พอดีเราชอบให้เยอะกว่านี้ เพราะชอบวอร์มเนื้อก่อน รู้สึกว่าแค่นี้ไม่ค่อยเพียงพอค่ากลิ่นและเนื้อสัมผัส : เนื้อใส ๆ เบา ๆ เกลี่ยง่ายเรียบลื่นไปเลย ซึมไวด้วย ชอบมาก ไม่เหนียวเหนอะหนะเลย เราใช้น้องเป็นพรีเซรั่ม ทำให้เซรั่มที่ลงต่อไปซึมได้ดีขึ้นด้วย ส่วนกลิ่นออกแนวหอมหวานอ่อน ๆ ปกติเราไม่ได้ปลื้มกลิ่นแนวนี้เท่าไหร่ แต่นี่ไม่ฉุน เราเลยโอเครรรผลที่ได้ : คือใช้ได้เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ไม่รู้ว่าของส่งมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ แต่ก็รีบทดลองใช้ทันที ผิวหน้าตอนเริ่มใช้ก็ไม่แย่มาก (เท่าตอนที่แย่ 55) กำลังฟื้นฟูอยู่พอดี >< แต่มีพวกรอยกระดำกระด่างทิ้งไว้จากช่วงหน้าพังแล้วไม่ได้บำรุงผิวด้วยประมาณนึง หลังจากใช้ POND'S AGE MIRACLE แล้วรู้สึกว่าพวกรอยอารยธรรมต่าง ๆ จางลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนเรื่องความเอจนั้นยังบอกอะไรไม่ได้มาก แต่ดูจากการใช้เพียงห้าวันแล้วได้ผลอย่างนี้ เราว่าแนวโน้มเป็นไปในทางที่ดี เราจะลัดคิวใช้น้องต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ค่า
more
iD
CLINIQUE
iD
ความเป็นมา : จริง ๆ เรามีความสนใจผลิตภัณฑ์ Clinique ID มานานสักพักแล้วล่ะ เพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่คนพูดถึง แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมามีภาวะเครียด บวกกับได้นอนประมาณวันละ 3-5 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังต้องไป ๆ มา ๆ ต่างจังหวัด เวลาและอารมณ์บำรุงผิวแทบไม่มี สิวฮอร์โมนขึ้น ๆ ยุบ ๆ แล้วขึ้นใหม่วนไป ทาแต่สกินแคร์หรือยาที่ช่วยรักษาสิว หน้าก็จะเดี๋ยวแห้งเดี๋ยวมัน เป็นขุย แปลก ๆ หน่อย จนถึงจุดที่หน้าบอกไม่ไหวแล้วเธอออ จงกลับมาบำรุงรักษาฉันเดี๋ยวนี้! เราเลยพุ่งตัวไปรับ Clinique ID มาลองใช้ให้สมใจที่อยากลองมานานนนสภาพผิว : ก่อนทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จะเห็นได้ชัดว่าหน้าของคนที่ไม่บำรุงและไม่ได้นอนนั้นเป็นยังไง T.T ทั้งแห้งและเหี่ยวเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ รอยสิวทั้งเก่าและใหม่พาเหรดมาแสดงตัวตนกันอย่างชัดเจน ไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร คือเราก็งงเหมือนกันว่าควรใช้สูตรไหนดี เพราะเหมือนว่าเราจะต้องการทุกสูตรเลยนะคะ ><ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ : 1. เบสมอยส์เจอไรเซอร์แบบ Gel 3 ซอง + แบบ Jelly 1 ซอง รวมทั้งหมดเป็น 4 ซอง (ในรูปมีทั้งหมดแค่สามซองเพราะวันแรกตื่นเต้นมาก ใช้หมดแล้วเผลอทิ้งไปค่ะ 55)2. บูสเตอร์สีส้ม หรือ Fatigue สำหรับผิวเหนื่อยล้า ไม่สดใสวิธีการใช้ : ในช่วงทำการทดลอง เราจะลงน้ำตบหรือโลชั่นที่ช่วยเรื่องสิวก่อน แล้วตามด้วย Clinique ID สูตรสีส้ม ซึ่งเราจะใช้แค่ช่วงก่อนนอนวันละซองเป็นเวลาทั้งหมด 4 วัน เพราะอยากทดลองใช้แบบเต็มที่แต่ต่อเนื่องนานหน่อย แบบอยากจะใช้น้อย ๆ แต่ใช้นาน ๆ จะได้มั่นใจในผลลัพธ์ .. จริง ๆ ไม่ใช่อะไร เพราะว่านอนเช้า แล้วกว่าจะตื่นอีกทีก็เย็น ๆ เลย มีเวลาทาสกินแคร์ครั้งเดียว T.T ซึ่งถือว่าเราได้ Clinique ID สูตรที่เหมาะกับเรามากจริง ๆ ขอเรียกว่าสูตรนอนน้อยแล้วกันนะคะ 55กลิ่นและเนื้อสัมผัส : สำหรับเราถือว่าไม่มีกลิ่นอะไรนะคะ ซึ่งเราชอบแบบนี้และเหมาะกับสภาพผิวหน้าที่แพ้ง่ายของเราในตอนนี้ด้วย (ถ้าจะมีกลิ่นเราชอบให้เป็นกลิ่นแบบอโรม่าไปเลย ไม่ชอบแนวหอมหวานเท่าไหร่) เนื่องจากเราได้เนื้อสัมผัสมาสองแบบ คือแบบ Gel และ Jelly เราจึงลองใช้ทั้งสองแบบเลย โดยเริ่มจากแบบ Gel ก่อนใน 3 วันแรก เพราะเนื้อดูเข้มข้นดี และแบบ Jelly ในวันสุดท้าย ซึ่งพอทาแล้วพบว่าให้ความชุ่มชื้นได้ดีมากทั้งสองสูตรเลย เอาจริง ๆ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ใช้เนื้อแบบไหนก็ได้ เราชอบทั้งสองเนื้อเลยค่ะ รู้สึกได้ว่าผิวดูดสารอาหารทั้งหมดลงไปอย่างเต็มที่ ชุ่มชื้น แต่ซึมเร็ว ไม่เกินหนึ่งนาทีคือซึมหมดแล้ว ถ้ามีสกินแคร์อื่นก็ลงต่อได้เลย และตื่นมาแล้วหน้าไม่มันเยิ้ม แต่ยังรู้สึกชุ่มชื่นอยู่ เป็นความรู้สึกใหม่ที่ดีเหมือนกันนะ เพราะในช่วงหน้าปกติดีเราจะประโคมสกินแคร์เยอะแยะ ตื่นมาหน้าจะโกลว์ไปนิดนึง 55ผลลัพธ์ : คืออยากจะบอกว่าจริง ๆ ใช้แค่คืนเดียวก็เห็นผลสำหรับเราแล้วนะคะ ผลที่ได้ก็คือหน้าดูอิ่มน้ำขึ้น เหมือนได้คืนน้ำสู่ผืนดิน เหมือนผิวหน้ากำลังขอบคุณเราอยู่! และพอใช้ครบ 4 วันจะเห็นได้ว่าร่องแก้มเราหายไปเลยยย หน้าเนียนขึ้น แน่นขึ้น ดูไม่เหนื่อยไม่ฮอยอีกต่อไป ดูนอน 6-8 ชั่วโมง >< สิวที่เพิ่งขึ้นไม่นานก็ยุบแห้งไปด้วย ถ้าเราไม่ถ่ายรูปไว้เราอาจไม่เห็นความแตกต่างขนาดนี้ แต่นี่อาจเป็นเพราะเราขาดการบำรุงอย่างจริงจังมาเป็นเดือนเลยเห็นผลเร็ว แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าผลที่ได้มาจาก Clinique Id จริง ๆ เราดูรูปที่ถ่ายไว้ยังรู้สึกว่าเกินความคาดหมายของตัวเองไปมาก แบบโอ้มายก้อดดด น้องสีฟ้ารอพี่ก่อน เดี๋ยวกลับบ้านไปเจอกันแน่นอนนน เอ๊ะ ลองสีส้มแล้วดีแต่ทำไมเพ้อถึงสีฟ้า เพราะว่าขวดสีสวยรึเปล่านะ 55ซื้อมั้ย? : บรรยายมาขนาดนี้แล้ว เหลือแค่กดสั่งออนไลน์แล้วกลับไปรอรับของค่า แต่โดยส่วนตัวก็จะเลือกแบบ Jelly นะคะ เพราะว่าพอเป็นขวดจริงแล้วเนื้อใสทำให้ขวดดูสวยน่าใช้มาก และถ้าต่อไปมีการพัฒนาให้เลือกผสมหลายสูตรในขวดเดียวกันได้ก็น่าจะสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับการพกพาไปใช้ยามเดินทางหรือแม้แต่ที่บ้านก็ตาม แต่ในตอนนี้เราก็ใช้วิธีบำรุงเรื่องอื่นในขั้นตอนอื่น ๆ แทน เพราะพอหน้าเริ่มกลับแข็งแรงแล้วเราจะบำรุงอะไรเพิ่มเติมก็ไม่มีปัญหา นี่คือสิ่งที่เราชอบที่สุดใน Clinique ID ค่ะ คือช่วยกอบกู้ผิวหน้าของเราได้อย่างรวดเร็วมากโดยไม่ต้องกลัวแพ้แม้แต่ในช่วงที่ผิวหน้าอ่อนแอ เรายกให้เป็นสกินแคร์ที่เราจะมีติดบ้านไว้อีกตัวเลย ดีใจน้าาาที่ได้เจอกัน :)
more
Oil in Bath
Parrot
Oil in Bath
แพ็คเกจจิ้ง : ได้รับผลิตภัณฑ์แบบทดลองมา เป็นหัวปิดป๊อกแป๊ก รู้สึกบีบยาก เลยใช้วิธีหมุนฝาเปิดเทเอาเลย 55กลิ่นและเนื้อสัมผัส : กลิ่นหอมสดชื่นทั้งสามกลิ่นเลยค่ะ ถ้าใครชอบกลิ่นดอกไม้จะฟินสุด ๆ ไปเลย และยังรู้สึกได้ว่ามี hint ของกลิ่นสบู่นกแก้วแบบดั้งเดิมไว้นิด ๆ ในสไตล์ฟลอรัลที่โมเดิร์นขึ้น ส่วนตัวชอบสีฟ้ามากสุด เพราะกลิ่นหอมสดชื่นมาก ๆ ส่วนเนื้อสัมผัสจะเหมือนกันทั้งสามสูตรค่ะ คือเป็นเนื้อข้นสีขาว ขึ้นฟองได้ง่ายทั้งแบบใช้มือหรือใยขัดตัว ถ้าใช้ใยขัดตัวก็จะมีฟองฟูเยอะขึ้นความรู้สึกเมื่อใช้ : รู้สึกหอมสดชื่นผ่อนคลายและฟรุ้งฟริ้งเหมือนอยู่ในร้านดอกไม้ โดยปกติเราจะใช้สบู่เหลวของเด็ก เพราะช่วงสองสามปีหลังมานี้แพ้สบู่ทั่วไป อาบแล้วผิวแห้งผื่นขึ้นตรงบริเวณหน้าอกหรือหน้าท้องประจำ แต่ก็ซนแอบไปลองของใหม่บ้างเป็นครั้งคราว >< สำหรับสบู่เหลวแพรอทรุ่นนี้เราไม่แพ้ น่าจะเป็นเพราะมีน้ำมันผสมอยู่ ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งหลังอาบน้ำ ถือว่าผ่านเลยค่ะ เพราะเราเป็นคนขี้เกียจบำรุงผิวตัวมาก ๆ 55ความรู้สึกเพิ่มเติม : อยากให้เพิ่มกลิ่นแนวเขียว ๆ ป่า ๆ หญ้า ๆ เข้าไปอีกสักกลิ่นหรือเป็นเซ็ตไปเลยก็ดีค่ะ เพราะชอบแนวนี้มาก ๆ ค่า
more
Acne Oil Control Serum T-Zone
เฌอ (Cher)
Acne Oil Control Serum T-Zone
เราได้รับผลิตภัณฑ์มาทดลองใช้ในช่วงสิวประทุประจำเดือนพอดี บวกกับนอนวันละ 3-5 ชั่วโมงมาเป็นเดือนแล้ว สิวฮอร์โมนแห่มาเพียบ! เอาล่ะ ลองดูเลย ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ฮือแพคเกจจิ้ง : ชอบนะ เป็นขวดเล็ก ๆ พกง่ายเลย เหยาะง่ายด้วย ช่วงนี้ต้องไปต่างจังหวัดบ่อย เหมาะมาก แต่รายละเอียดบนตรงสติ๊กเกอร์ที่แปะบนขวดดูไม่ค่อยคมชัดเท่าไหร่ ไม่รู้เพราะเป็นแค่ขนาดทดลองหรือเปล่า อยากให้เนี้ยบกว่านี้ก็จะชอบยิ่งขึ้นไปอีกเนื้อสัมผัส : อันนี้ชอบสุด ๆ เพราะไม่มีสีไม่มีกลิ่น เนื้อหยุ่น ๆ หน่อย แต่ทาง่าย ซึมไว ไม่มัน ในขณะเดียวกันก็ยังชุ่มชื้น ไม่ใช่ว่าคุมมันแล้วหน้าแห้งผาก รู้สึกได้เลยว่าผิวได้รับการบำรุง กลางวันลงกันแดดต่อโอเคเลย แต่ยังไงกลางคืนก็ควรลงมอยส์เจอไรเซอร์ด้วยนะผลที่ได้ : อะเมซิ่งอยู่นะคะ ใช้ไปประมาณ 2 สัปดาห์ สิวที่ขึ้นก่อนหน้านี้ยุบแห้งไปเลย พวกรอยดำ ๆ แดง ๆ จางลงบ้าง แถมผิวหน้าโดยรวมดูขาวขึ้นด้วย อันนี้ไม่ได้หวังผลเลยนะ แต่ดันมีสิวขึ้นใหม่เม็ดนึง! >< อันนี้ยกผลประโยชน์ให้ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นสิวประจำเดือน ซึ่งนี่ถือว่าหน้าดีขึ้นเร็วกว่าปกติในช่วงเวลาแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ซื้อต่อมั้ย : ซื้อ! ถ้าขวดปกติสวยกว่านี้ (นี่ก็ยังห่วงขวดสวยเนอะ 55) หรือมีโปรค่า
more
Rapid Wrinkle Repair Regenerating Cream
Neutrogena
Rapid Wrinkle Repair Regenerating Cream
แพคเกจจิ้ง : กระปุกแก้วสีเทาฝาพลาสติกสีขาว ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่หรูหรา ตั้งบนโต๊ะแล้วสวยดี ภาพลักษณ์เหมาะกับคุณสมบัติที่เน้นเรื่อง anti-aging ไม่เหมาะกับการพกพา เพราะมีน้ำหนักพอสมควรและตกแตกได้วิธีการใช้ : เราใช้ทั้งกลางวันและกลางคืนร่วมกับโทนเนอร์และเซรั่มที่ไม่เน้นเรื่องริ้วรอย เพื่อให้เห็นผลด้านริ้วรอยจากครีมตัวนี้เท่านั้น กลิ่นและเนื้อสัมผัส : ใช้ครั้งแรกรู้สึกว่ากลิ่นแปลก ๆ ไม่ค่อยถูกจริตเราเท่าไหร่ แต่คนข้าง ๆ บอกว่าหอมดี เราก็หมั่นเพียรใช้ไปเรื่อย ๆ จนโอเคกับกลิ่นไปเอง >< ส่วนเนื้อสัมผัสมีความเข้มข้นมาก แต่เกลี่ยง่าย ซึมค่อนข้างเร็ว ไม่เหนียว แต่จะหนึบผิวหน่อย ทากลางคืนตื่นมาแล้วรู้สึกว่าครีมซึมหมดเลย แต่กลางวันต้องลงแป้งทับถึงจะไม่เยิ้มผลการใช้ : เรารู้สึกได้ตั้งแต่สองสามวันแรกว่าผิวกระชับขึ้น เรื่องริ้วรอยยังเห็นไม่ชัด แต่ผิวดูเปล่งปลั่ง ไม่เหนื่อย ดูนอนเพียงพอ พอผิวอิ่มเอิบเลยอาจทำให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูตื้นขึ้น ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ น่าจะดีขึ้นไปอีก และที่สำคัญไม่อุดตัน เราเป็นคนสิวขึ้นง่าย แต่ตัวนี้โอเค ทาทับสิวที่มีอยู่ก็ไม่ได้เห่อเพิ่มขึ้น ทำให้กล้าใช้อย่างต่อเนื่อง สรุป : โดยรวมแล้วเราชอบครีมตัวนี้ตรงที่หน้าดีขึ้นจริงในเวลาไม่นาน อาจจะไม่เร็วถึงขนาดที่เคลมมา แต่ให้ความรู้สึกพอ ๆ กับที่ใช้ครีมเคาท์เตอร์แบรนด์เลย ติดอยู่แค่ตรงกลิ่นที่ไม่ละมุนถูกใจเราเท่าไหร่ แต่กลิ่นเป็นเรื่องส่วนบุคคลจริง ๆ และถ้ามีไม้พายแถมมาให้ด้วยก็จะดีมากค่า
more
Daily Moisturizing Lotion
Aveeno
Daily Moisturizing Lotion
แพคเกจจิ้ง : ขวดใหญ่แต่ก็ออกแบบรูปทรงมาได้กะทัดรัดไม่เทอะทะ หัวปั๊ม กดง่าย ดีไซน์ดูสวยสะอาด ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติมาก ๆเนื้อสัมผัส : กดออกมาเป็นเนื้อข้น ๆ ดูแล้วเหมือนจะหนืด แต่พอเกลี่ยปุ๊บเรียบลื่นไปกับผิวเลย ซึมเร็วไม่ต้องถูเยอะ แต่จะทิ้งความชุ่มชื่นไว้บนผิว ออกแนวหนึบ ๆ หน่อย ถ้าคนไม่ชอบความหนึบควรทาเมื่ออยู่ในห้องแอร์ แต่ถ้าใครผิวแห้งมากก็โบกไปเลยค่าความรู้สึกหลังใช้ : รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ทาเคลือบผิวไว้ไม่ให้ผิวแห้งเท่านั้น แต่มีการบำรุงล้ำลึกไปถึงข้างใน ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่นยาวนาน ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างแท้จริง และชอบมากตรงที่ไม่มีกลิ่นฉุนเลย มีแค่กลิ่นข้าวโอ๊ตอ่อน ๆ หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีกลิ่นเลยก็ได้ ใครอยากฉีดน้ำหอมให้กลิ่นน้ำหอมโดดเด่น ไม่ตีกับครีมทาผิว จัดตัวนี้ไปได้เลย~
more
MINERALIZE BLUSH
MAC
MINERALIZE BLUSH
หลังจาก Luster ของนาร์สถูกแฮ้ปไป เราก็พยายามหา dupe ของยี่ห้ออื่นมาใช้แทน เพราะคิดว่าไหน ๆ จะซื้อใหม่ทั้งที ก็อยากเปลี่ยนบ้าง 55 เลยไปเจอว่าสี Warm Soul ของแม็คเนี่ยมีความใกล้เคียง พอได้มาใช้จริงก็ใกล้อยู่ แต่แทนกันไม่ได้ Warm Soul จะมีเนื้อสีที่เบาบางกว่า และไม่ติดชมพูเท่าไหร่ ยิ่งถ้าใช้แปรงแตะแล้วมาปัดเบา ๆ จะได้สีแก้มที่นวลเนียนเป็นธรรมชาติมาก ตอนแรกแอบเสียใจว่าไม่เหมือน Luster จนทำให้สุดท้ายก็ต้องกลับไปซื้ออยู่ดี 55 แต่พอใช้ Warm Soul ไปเรื่อย ๆ เฮ้ย ชอบเฉยยย จริง ๆ แล้วมันดี มันทำให้แก้มเราดูเปล่งประกายเสมือนแก้มสีนี้มาแต่เกิด มีสีสันแบบละมุนละไม สุดท้ายกลายเป็น my cheeks but better สำหรับเราไปเลยแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละคนควรไปลองเอง เพราะพวกเมคอัพสี ๆ นี่มันแล้วแต่ผิวและโทนสีผิวของแต่ละคนจริง ๆ
more